tag:blogger.com,1999:blog-6976175314551505602024-03-13T00:01:32.389-07:00classroom_managementการจัดการในชั้นเรียน โดย นางสาววีร์วิกา อุบลจันทร์ หลักสูตรคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.comBlogger13125tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-75567750056361982322010-02-24T20:16:00.000-08:002010-02-25T07:51:24.324-08:00ขอให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมทุกคน<span style="color: red;">จากที่เธอได้เรียนวิชาการจัดการชั้นเรียนโดยใช้WeblogหรือฺBlog ผู้เรียนเห็นว่าการใช้งานนี้</span><span style="color: red;">มีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร ให้แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ เพื่อจะนำไปพัฒนาใช้ในโอกาสต่อไป </span><br />
<br />
<span style="color: red;">จุดเด่น</span><br />
-Weblog เป็นนวัตกรรมการศึกษาที่ทันสมัยเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน<br />
-Weblog เป็นสื่อและแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจเข้ามาเพื่อสืบค้นข้อมูล<br />
-Weblog เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง<br />
-Weblog เป็นการเรียนรู้นอกกรอบที่ผู้เรียนไม่เคยได้สัมผัสจริง<br />
-Weblog ยังเป็นสื่อสร้างสรรค์เหมาะแก่การนำไปประยุกต์กับการประกอบวิชาชีพครู<br />
-Weblog ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น <br />
<br />
<span style="color: red;">จุดด้อย</span><br />
-ผู้เรียนยังไม่รู้จักการสร้างWeblogที่ดี<br />
-สื่อประกอบในการเรียนการสอนของผู้เรียนและสัญญาณอินเตอร์เน็ทไม่เอื้ออำนวย<br />
<br />
อย่างไรก็ตามดิฉันคิดว่าการที่ผู้สอนได้นำการใช้ Weblog มาสอนให้แก่นักศึกษาเป็นสิ่งที่ดี สามารถช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้ถึงนวัตกรรมที่สมัยใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและผู้สอน<br />
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าควรที่จะจัดให้บรรจุเป็นวิชาเรียนในการเรียนการสอนในต่อๆไปเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-15982407862146598682010-02-17T07:31:00.000-08:002010-02-17T07:31:40.191-08:00ส่งงาน<a href="http://www.mediafire.com/?mjnyhwvmjmz">รายงานที่ส่งกลุ่ม 9</a>เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-19358016496252642010-02-17T06:26:00.000-08:002010-02-17T11:00:42.822-08:00ข้อสอบปลายภาคเรียนให้นักเรียนตอบข้อสอบลงในWeblog ของนักเรียนแต่ละคน คำสั่ง ให้นักเรียนทำข้อสอบโดยการแสดงความคิดเห็นสะท้อนข้อคิดพร้อมยกตัวอย่างประกอบในการแสดงความคิดเห็นให้เป็นเหตุเป็นผลของผู้เรียน อาจารย์จะอ่านข้อคิดเห็นที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน เขียนในWeblog ให้ชวนอ่าน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้<br />
<br />
<span style="color: #3333ff;"><span style="color: red;">ข้อที่ 1</span> </span><span style="color: red;">กรณีที่เกิดความวุ่ยวายของบ้านเมืองโดยเฉพาะผู้นำประเทศที่ผ่านมา ท่านในฐานะเป็นครูพันธ์ใหม่ ท่านจะแสดงความคิดเห็น อดีตนายกทักษิณ ทั้งข้อดีและข้อเสียของท่าน หากพิจารณาข้อดีและข้อเสียท่านจะนำมาสอนให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร</span><br />
<span style="color: red;">ตอบ</span> ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูพันธ์ใหม่ ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานในด้านดีและด้านเสียของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชิณวัตร โดย<br />
<span style="color: red;">ข้อดี</span>ของท่านทักษิณที่สามารถนำมาสอนแก่ผู้เรียนคือในด้านของการมองเห็นคุณค่าให้ความสำคัญกับบุคคลในด้านของสิทธิมนุษยชนที่เห็นได้จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ท่านได้มองเห็นและให้ความสำคัญให้ความช่วยเหลือ ซึ่งโครงการนี้จะมีประโยชน์อย่างสูงสุดต่อประชาชนชั้นรากหญ้า หรือกลุ่มบุคคลที่หาเช้ากินค่ำได้มีสิทธิในการรักษาตัวเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไปและรวมถึงโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ได้ทุ่มเทการสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้กับคนยากจน ทำให้บุคคลเหล่านั้นมีปัจจัยสี่ในการดำเนินชีวิตได้เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าโครงการ 2 โครงการที่กล่าวมาข้างต้น สามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงการให้ความสำคัญให้ความเมตตาเอื้ออาทรแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง<br />
<span style="color: red;">ข้อเสีย</span>ของท่านคือ การทำโครงการแต่ล่ะโครงการมีการฉ้อโกงงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำของประเทศไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะเป็นการบ่อนทำลายประเทศ ซึ่งการกระทำดังที่กล่าวมาข้างต้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย<br />
เราในฐานะที่เป็นครูพันธ์ใหม่ควรนำทั้งในส่วนดีและส่วนเสียมาอบรบสั่งสอนผู้เรียนและชี้ให้เห็นผลกระทบจากการกระทำความดีและผลของการกระทำความเสื่อมเสียว่าเมื่อไรที่คุณกระทำความชั่วต่อแผ่นดิน เมื่อนั้นคุณก็ไม่มีแผ่นดินที่จะให้อาศัยต่อไป<br />
<br />
<span style="color: red;">ข้อที่ 2</span> <span style="color: red;">การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนที่จะให้มีประสิทธิภาพท่านจะมีวิธีคิดอย่างไรหากท่านเป็นครูที่ดีควรเตรียมการเป็นที่ครูที่ดีอย่างไรให้ท่านแสดงความคิดเห็นของท่านเอง</span><br />
<span style="color: red;">ตอบ</span> การจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ผู้สอนที่ดีควรมีการเตรียมตัวก่อนสอนให้มีความรู้ในเรื่องที่จะสอนอย่างแม่นยำ และควรเตรียมแผนการสอนล่วงหน้าก่อนเข้าสอนทุกครั้ง และก่อนทำการเรียนการสอนทุกครั้งผู้สอนที่ดีควรศึกษาและเรียนรู้ว่าผู้เรียนมีความกระตือรือร้น และมีความพร้อมที่จะเรียนมากน้อยเพียงใด หากผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนน้อยผู้สอนควรปรับเปลี่ยนแผนการสอนที่ได้วางไว้ ว่าเราควรเพิ่มหรือลดแผนการสอนในวันนั้นอย่างไรเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับผู้เรียน และควรมีกิจกรรมเสริมในชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในชั้นเรียน ควรจัดกิจกรรมที่เน้นการทำงานเป็นกลุ่ม เพราะ การทำงานเป็นกลุ่มสามารถทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การทำงานกลุ่มซึ่งจะมี ประโยชน์อย่างมากในการออกไปประกอบอาชีพของผู้เรียนซึ่งจะต้องมีการทำงานร่วม กับบุคคลอื่น หากเราปูพื้นฐานการทำงานเป็นกลุ่ม สอนให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในอนาคตต่อไปจะทำให้ผู้เรียนสามารถอาศัยและทำงานร่วมกันกับบุคคลอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ<br />
<br />
<span style="color: red;">ข้อที่ 3</span> <span style="color: red;">ในฐานะท่านเป็นครูพันธ์ใหม่ ท่านจะนำนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนมาใช้การเรียนการสอนแบบใหม่ได้อย่างไร</span><br />
<span style="color: red;">ตอบ</span> ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูพันธ์ใหม่ ข้าพเจ้าจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ จะช่วยให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นพร้อมที่จะใฝ่รู้ใฝ่เรียนและช่วยในการประหยัดทรัพยากรเช่นการเรียนการสอนผ่านระบบ M learning สามารถที่จะช่วยในการประหยัดทรัพยากรในการเดินทาง ช่วยลดมลภาวะทางอากาศ ยานพาหนะ และรวมถึงค่าใช้จ่าย แต่กระบวนการเรียนก็ยังสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี และในส่วนของการส่งงานก็ให้นักศึกษาส่งงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะรวดเร็วและสามารถตรวจเช็ควันเวลาการส่งงานได้ตามความเป็นจริง ซึ่งการนำเอานวัตกรรมการเรียนการสอนแบบใหม่มาใช้ครูพันธ์ใหม่ทุกคนก็ควรมีความรู้ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างดี เพราะโลกในปัจจุบันมาการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ดังนั้นครูพันธ์ใหม่ทุกคนควรรู้เท่าทันนวัตกรรมใหม่ๆที่มีในปัจจุบัน โดยนำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้สอนและผู้เรียน<br />
<br />
<span style="color: red;">ข้อที่ 4</span> <span style="color: red;">การประกันคุณภาพมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการในชั้นเรียนได้อย่างไร</span><br />
<span style="color: red;">ตอบ</span> การประกันคุณภาพมีความสำคัญต่อการบริหารการจัดการในชั้นเรียน เพราะการบริหารการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนจะมีผลต่อการประเมินผลการดำเนินการของสถานศึกษาว่ามีการพัฒนาให้เป็นไปตามมาตราฐานคุณภาพตามที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งหากผลไม่สามารถเป็นไปตามผลที่ได้กำหนดไว้จะต้องทำการส่งเสริม และปรับปรุงคุณภาพให้ได้ตามเกณฑ์หรือตามมาตราฐานที่กำหนดไว้<br />
ดังนั้นเพื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ผู้สอนควรมีความพร้อมและมีกระบวนการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์และมีคุณภาพ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดการเรียนการสอน<br />
<br />
<span style="color: red;">ข้อที่ 5</span> <span style="color: red;">ให้ผู้เรียนประเมินผู้สอนทั้งข้อดีข้อเสียและข้อเสนอแนะเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงการเรียนการสอนต่อไป</span><br />
<span style="color: red;">ตอบ</span> <span style="color: red;">ข้อดี</span><br />
- อาจารย์ตรงต่อเวลา<br />
- อาจารย์แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย<br />
- อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะแนวทางการสอนได้ถูกต้องตามเป้าหมาย<br />
- อาจารย์เน้นการจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ<br />
- อาจารย์นำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าสนใจและยังส่งผลต่อนักศึกษาที่สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปต่อยอดในการประกอบวิชาชีพครูได้<br />
<span style="color: red;">ข้อเสีย</span><br />
- เวลาและระยะการดำเนินงานไม่เหมาะสม เพราะเวลาน้อยเกินไปสำหรับการเรียนรู้สิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์<br />
- อาจารย์สอนเร็วเกินไป ในบางครั้งยังทำไม่ทัน ทำให้อาจารย์เสียเวลาที่จะสอนเรื่องใหม่ เพราะยังต้องกลับมาทบทวนเรื่องเก่าๆอยู่<br />
<span style="color: red;"> ข้อเสนอแนะ</span><br />
- ผู้สอนควรบรรจุการทำบล็อกหรือการสอนเรื่องเทคโนโลยีต่างๆไว้ในหลักสูตรการประกอบวิชาชีพครูเพื่อที่จะได้นำเอาความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานได้เต็มที่และเต็มศักยภาพเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-33543883998811010512010-02-10T09:41:00.000-08:002010-02-24T20:26:40.981-08:00การจัดการในชั้นเรียน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1nKfK5A68xwIRyYMGRTuhD65LXWZAoJ-l0VVFMXXSQEEabrxtrDV-1JhrtYYLBS5miY_MGmvAoLG3FGCHd5JgBTGt3zuRWtivmRkXnI3cNdmOm8sZW4hrOCB2dlqvj2Y5KgjKOn_FG0eo/s1600-h/subject%5B1%5D.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436828731099817250" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1nKfK5A68xwIRyYMGRTuhD65LXWZAoJ-l0VVFMXXSQEEabrxtrDV-1JhrtYYLBS5miY_MGmvAoLG3FGCHd5JgBTGt3zuRWtivmRkXnI3cNdmOm8sZW4hrOCB2dlqvj2Y5KgjKOn_FG0eo/s320/subject%5B1%5D.gif" style="cursor: hand; float: right; height: 249px; margin: 0px 0px 10px 10px; width: 320px;" /></a><br />
<div><a href="http://myblogteetee.blogspot.com/2010/02/blog-post_06.html">การจัดชั้นเรียน</a><br />
การจัดชั้นเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นความหมายของการจัดบรรยากาศในชั้นเรียนการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน เพื่อช่วยส่งเสริมให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา ตลอดจนช่วยสร้างเสริมความมีระเบียบวินัยให้แก่ผู้เรียนหลักการจัดชั้นเรียนเนื่องจากชั้นเรียนมีความสำคัญ เปรียบเสมือนบ้านที่สองของนักเรียน นักเรียนจะใช้เวลาอยู่ในชั้นเรียนประมาณวันละ 5-6 ชั่วโมง อิทธิพลของชั้นเรียนจึงมีมากพอที่จะปลูกผังลักษณะของเด็กให้เป็นแบบที่ต้องการได้ เช่น ให้เป็นตัวของตัวเอง ให้สามารถทำงานเป็นหมู่คณะได้ดี ให้ชอบแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ให้มีความรับผิดชอบ ให้รู้จักคิดวิเคราะห์ ดังนั้นเพื่อให้นักเรียนมีคุณลักษณะนิสัยดังประสงค์ และมีความรู้สึกอบอุ่นสบายใจในการอยู่ในชั้นเรียนครูจึงควรคำนึงถึงหลักการจัดชั้นเรียน ดังต่อไปนี้<br />
1. การจัดชั้นเรียนควรให้ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม ชั้นเรียนควรเป็นห้องใหญ่หรือกว้างเพื่อสะดวกในการโยกย้ายโต๊ะเก้าอี้ จัดเป็นรูปต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอน ถ้าเป็นห้องเล็ก ๆ หลาย ๆ ห้องติดกัน ควรทำฝาเลื่อน เพื่อเหมาะแก่การทำให้ห้องกว้างขึ้น<br />
2. ควรจัดชั้นเรียนเพื่อสร้างเสริมความรู้ทุกด้าน โดยจัดอุปกรณ์ในการทำกิจกรรมหรือหนังสืออ่านประกอบที่หน้าสนใจไว้ตามมุมห้อง เพื่อนักเรียนจะได้ค้นคว้าทำกิจกรรมควรติดอุปกรณ์รูปภาพและผลงานไว้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้<br />
3. ควรจัดชั้นเรียนให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ซึ่งมีอิทธิผลต่อความเป็นอยู่และการเรียนของนักเรียนเป็นอันมาก ครูมีส่วนช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้ดีได้ เช่น ให้นักเรียนจัดหรือติดอุปกรณ์ให้มีสีสวยงาม จัดกระถางต้นไม้ประดับชั้นเรียน จัดที่ว่างของชั้นเรียนให้นักเรียนทำกิจกรรม คอยให้คำแนะนำในการอ่านหนังสือ ค้นคว้าแก้ปัญหา และครูควรสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน ไม่ให้เครียด เป็นกันเองกับนักเรียน ให้นักเรียนรู้สึกมีความปลอดภัย สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน<br />
4. ควรจัดชั้นเรียนเพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีงาม ชั้นเรียนจะน่าอยู่ก็ตรงที่นักเรียนรู้จักรักษาความสะอาด ตั้งแต่พื้นชั้นเรียน โต๊ะม้านั่ง ขอบประตูหน้าต่าง ขอบกระดานชอล์ก แปลงลบกระดาน ฝาผนังเพดาน ซอกมุมของห้อง ถังขยะต้องล้างทุกวัน เพื่อไม่ให้มีกลิ่นเหม็น และบริเวณที่ตั้งถังขยะจะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นแหล่งบ่อเกิดเชื้อโรค<br />
5. ควรจัดชั้นเรียนเพื่อสร้างความเป็นระเบียบ ทุกอย่างจัดให้เป็นระเบียบทั่งอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ เช่นการจัดโต๊ะ ชั้นวางของและหนังสือ แม้แต่การใช้สิ่งของก็ให้นักเรียนได้รู้จักหยิบใช้ เก็บในที่เดิม จะให้นักเรียนเคยชินกับความเป็นระเบียบ<br />
6. ควรจัดชั้นเรียนเพื่อสร้างเสริมประชาธิปไตย โดยครูอาจจัดดังนี้<br />
6.1 จัดให้นักเรียนเข้ากลุ่มทำงาน โดยให้มีการหมุนเวียนกลุ่มกันไป เพื่อให้ได้ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น<br />
6.2 จัดที่นั่งของนักเรียนให้สลับที่กันเสมอ เพื่อให้ทุกคนได้มีสิทธิที่จะนั่งในจุดต่างๆ ของห้องเรียน<br />
6.3 จัดโอกาสให้นักเรียนได้หมุนเวียนกันเป็นผู้นำกลุ่ม เพื่อฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี<br />
<a name='more'></a><br />
7.ควรจัดชั้นเรียนให้เอื้อต่อหลักสูตร หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับปัจจุบันเน้นการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และให้ใช้กระบวนการสอนต่างๆ ดังนั้นครูจึงควรจัดสภาพห้องให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ เช่น การจัดที่นั่งในรูปแบบต่างๆ อาจเป็นรูปตัวยู ตัวที หรือครึ่งวงกลม หรือจัดเป็นแถวตอนลึกให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอนและการจัดบรรยากาศทางด้านจิตวิทยาให้ผู้เรียนรู้สึกกล้าถามกล้าตอบ กล้าแสดงความคิดเห็น เกิดความใคร่รู้ ใคร่เรียน ซึ่งจะเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาตน พัฒนาอาชีพ พัฒนาสังคม และเป็นคนเก่ง ดี มีความสุขได้ในที่สุดจากที่กล่าวมาทั่งหมด สรุปได้ว่า หลักการจัดชั้นเรียน คือ การจัดบรรยากาศทางด้านกายภาพ และการจัดบรรยากาศทางด้านจิตวิทยาในชั้นเรียนให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ และเพื่อการพัฒนาผู้เรียนทั่งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไปรูปแบบการจัดชั้นเรียนแบบต่างๆจัดแบ่งได้ 6 ลักษณะ สรุปได้ดังนี้<br />
1. บรรยากาศที่ท้าทาย (Challenge) เป็นบรรยากาศที่ครูกระตุ้นให้กำลังใจนักเรียนเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำงาน นักเรียนจะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและพยายามทำงานให้สำเร็จ<br />
2. บรรยากาศที่มีอิสระ (Freedom) เป็นบรรยากาศที่นักเรียนมีโอกาสได้คิด ได้ตัดสินใจเลือกสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่า รวมถึงโอกาสที่จะทำผิดด้วย โดยปราศจากความกลัวและวิตกกังวล บรรยากาศเช่นนี้จะส่งเสริมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะปฏิบัติกิจกรรมด้วยความตั้งใจโดยไม่รู้สึกตึงเครียด<br />
3. บรรยากาศที่มีการยอมรับนับถือ (Respect) เป็นบรรยากาศที่ครูรู้สึกว่านักเรียนเป็นบุคคลสำคัญ มีคุณค่า และสามารถเรียนได้ อันส่งผลให้นักเรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและเกิดความยอมรับนับถือตนเอง<br />
4. บรรยากาศที่มีความอบอุ่น (Warmth) เป็นบรรยากาศทางด้านจิตใจ ซึ่งมีผลต่อความสำเร็จในการเรียน การที่ครูมีความเข้าใจนักเรียน เป็นมิตร ยอมรับให้ความช่วยเหลือ จะทำให้นักเรียนเกิดความอบอุ่น สบายใจ รักครู รักโรงเรียน และรักการมาเรียน<br />
5. บรรยากาศแห่งการควบคุม (Control) การควบคุมในที่นี้ หมายถึง การฝึกให้นักเรียนมีระเบียบวินัย มิใช่การควบคุม ไม่ให้มีอิสระ ครูต้องมีเทคนิคในการปกครองชั้นเรียนและฝึกให้นักเรียนรู้จักใช้สิทธิหน้าที่ของตนเองอย่างมีขอบเขต6. บรรยากาศแห่งความสำเร็จ (Success) เป็นบรรยากาศที่ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จในงานที่ทำ ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ผู้สอนจึงควรพูดถึงสิ่งที่ผู้เรียนประสบความสำเร็จให้มากกว่าการพูดถึงความล้มเหลว เพราะการที่คนเราคำนึงถึงแต่สิ่งที่ล้มเหลว เพราะการที่คนเราคำนึงถึงแต่ความล้มเหลวจะมีผลทำให้ความคาดหวังต่ำ ซึ่งไม่ส่งเสริมให้การเรียนรู้ดีขึ้นบรรยากาศทั้ง<br />
6 ลักษณะนี้ มีผลต่อความสำเร็จของผู้สอนและความสำเร็จของผู้เรียนผู้สอนควรสร้างให้เกิดในชั้นเรียนบรรยากาศในชั้นเรียนที่พึงปรารถนาการจัดบรรยากาศทางด้านกายภาพ เป็นการจัดวัสดุอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน รวมตลอดไปถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เสริมความรู้ เช่น ป้ายนิเทศ มุมวิชาการ ชั้นวางหนังสือ โต๊ะวางสื่อการสอน ฯลฯ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เกิดความสบายตา สบายใจ แก่ผู้พบเห็น ถ้าจะกล่าวโดยละเอียดแล้ว การจัดบรรยากาศทางด้ายกายภาพ ได้แก่ การจัดสิ่งต่อไปนี้<br />
1. การจัดโต๊ะเรียนและเก้าอี้ของนักเรียน<br />
1.1 ให้มีขนาดเหมาะสมกับรูปร่างและวัยของนักเรียน<br />
1.2 ให้มีช่องว่างระหว่างแถวที่นักเรียนจะลุกนั่งได้สะดวก และทำกิจกรรมได้คล่องตัว<br />
1.3 ให้มีความสะดวกต่อการทำความสะอาดและเคลื่อนย้ายเปลี่ยนรูปแบบที่นั่งเรียน<br />
1.4 ให้มีรูปแบบที่ไม่จำเจ เช่น อาจเปลี่ยนเป็นรูปตัวที ตัวยู รูปครึ่งวงกลม หรือ เข้ากลุ่มเป็นวงกลม ได้อย่างเหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน<br />
1.5 ให้นักเรียนที่นั่งทุกจุดอ่านกระดานดำได้ชัดเจน<br />
1.6 แถวหน้าของโต๊ะเรียนควรอยู่ห่างจากกระดานดำพอสมควร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร ไม่ควรจัดโต๊ะติดกระดานดำมากเกินไป ทำให้นักเรียนต้องแหงนมองกระดานดำ และหายใจเอาฝุ่นชอล์กเข้าไปมาก ทำให้เสียสุขภาพ<br />
2. การจัดโต๊ะครู<br />
2.1 ให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม อาจจัดไว้หน้าห้อง ข้างห้อง หรือหลังห้องก็ได้ งานวิจัยบางเรื่องเสนอแนะให้จัดโต๊ะครูไว้ด้านหลังห้องเพื่อให้มองเห็นนักเรียนได้อย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม การจัดโต๊ะครูนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดที่นั่งของนักเรียนด้วย<br />
2.2 ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งบนโต๊ะและในลิ้นชักโต๊ะ เพื่อสะดวกต่อการทำงานของครู และการวางสมุดงานของนักเรียน ตลอดจนเพื่อปลูกฝังลักษณะนิสัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยแก่นักเรียน<br />
3. การจัดป้ายนิเทศ ป้ายนิเทศไว้ที่ฝาผนังของห้องเรียน ส่วนใหญ่จะติดไว้ที่ข้างกระดานดำทั้ง 2 ข้าง ครูควรใช้ป้ายนิเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน โดย<br />
3.1 จัดตกแต่งออกแบบให้สวยงาม น่าดู สร้างความสนใจให้แกนักเรียน<br />
3.2 จัดเนื้อหาสาระให้สอดคล้องกับบทเรียน อาจใช้ติดสรุปบทเรียน ทบทวนบทเรียน หรือเสริมความรู้ให้แก่นักเรียน<br />
3.3 จัดให้ใหม่อยู่เสมอ สอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญ หรือวันสำคัญต่าง ๆ ที่นักเรียนเรียนและควรรู้<br />
3.4 จัดติดผลงานของนักเรียนและแผนภูมิแสดงความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนจะเป็นการให้แรงจูงใจที่น่าสนใจวิธีหนึ่งแนวการจัดป้ายนิเทศเพื่อให้การจัดป้ายนิเทศได้ประโยชน์คุ้มค่า ครูควรคำนึงถึงแนวการจัดป้ายนิเทศในข้อต่อไปนี้<br />
1. กำหนดเนื้อหาที่จะจัด ศึกษาเนื้อหาที่จะจัดโดยละเอียด เพื่อให้ได้แนวความคิดหลัก หรือสาระสำคัญ เขียนสรุป หรือจำแนกไว้เป็นข้อ ๆ<br />
2. กำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดโดยคำนึงถึงแนวความคิดหลักสาระสำคัญของเรื่องและคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายว่าต้องการเขารู้อะไร แค่ไหน อย่างไร<br />
3. กำหนดชื่อเรื่อง นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ดู ชื่อเรื่องที่ดีต้องเป็นใจความสั้น ๆ กินใจความให้ความหมายชัดเจน ท้าทาย อาจมีลักษณะเป็นคำถามและชี้ให้เห็นวัตถุประสงค์ในการจัดแผ่นป้าย<br />
4. วางแผนการจัดคล่าว ๆ ไว้ในใจ ว่าจะใช้วัสดุอะไรบ้าง แล้วจึงช่วยกันจัดหาสิ่งเหล่านั้น อาจเป็นรูปภาพ แผนภาพ ภาพสเก็ตซ์ ของจริง หรือจำลอง การ์ตูน เท่าที่พอจะหาได้<br />
5. ออกแบบการจัดที่แน่นอน โดยคำนึงถึงสิ่งที่มีอยู่ โดยสเก็ตซ์รูปแบบการจัดลงบนกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายแผ่นป้าย ว่าจะวางหัวเรื่อง รูปภาพ และสิ่งต่าง ๆ ในตำแหน่งใด คำบรรยายอยู่ตรงไหน ใช้เส้นโยงอย่างไรจึงจะน่าสนใจ ควรออกแบบสัก 2 - 3 รูแบบ แล้วเลือกเอารูปแบบที่ดีที่สุด<br />
6. ลงมือจัดเตรียมชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้มีขนาดและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะขึ้นแสดงบนแผ่นป้ายได้อย่างเหมาะสม หัวเรื่องจะใช้วิธีใด ภาพต้องผนึกไหม คำบรรยายจะทำอย่างไร เตรียมให้พร้อม<br />
7. ลงมือจัดจริงบนแผ่นป้ายตามรูปแบบที่วางไว้ อาจทดลองวางบนพื้นราบในพื้นที่เท่าแผ่นป้ายก่อน เพื่อกะระยะที่เหมาะสมก่อนนำไปใช้จริง<br />
4. การจัดสภาพห้องเรียน ต้องให้ถูกสุขลักษณะ กล่าวคือ<br />
4.1 มีอากาศถ่ายเทได้ดี มีหน้าต่างพอเพียง และมีประตูเข้าออกได้สะดวก<br />
4.2 มีแสงสว่างพอเหมาะ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนอ่านหนังสือได้ชัดเจน เพื่อเป็นการถนอมสายตา ควรใช้ไฟฟ้าช่วย ถ้ามีแสงสว่างน้อยเกินไป<br />
4.3 ปราศจากสิ่งรบกวนต่าง ๆ เช่น เสียง กลิ่น ควัน ฝุ่น ฯลฯ<br />
4.4 มีความสะอาด โดยฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบช่วยกันเก็บกวาด เช็ดถู เป็นการปลูกฝังนิสัยรักความสะอาด และฝึกการทำงานร่วมกัน<br />
5. การจัดมุมต่าง ๆ ในห้องเรียน ได้แก่<br />
5.1 มุมหนังสือ ควรมีไว้เพื่อฝึกนิสัยรักการอ่าน ส่งเสริมให้นักเรียนอ่านคล่อง ส่งเสริม การค้นคว้าหาความรู้ และการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ครูควรหาหนังสือหลาย ๆ ประเภท ที่มีความยากง่าย เหมาะสมกับวัยของนักเรียนมาให้อ่าน และควรหาหนังสือชุดใหม่มาเปลี่ยนบ่อย ๆ การจัดมุมหนังสือควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อสะดวกต่อการหยิบอ่าน<br />
5.2 มุมเสริมความรู้กลุ่มประสบการณ์ต่าง ๆ ควรจัดไว้ให้น่าสนใจ ช่วยเสรมความรู้ ทบทวนความรู้ เช่น มุมภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา มุมความรู้ข่าว เหตุการณ์ ฯลฯ<br />
5.3 มุมแสดงผลงานของนักเรียน ครูควรติดบนป้ายนิเทศ แขวนหรือจัดวางไว้บนโต๊ะ เพื่อให้นักเรียนเกิดความภูมิใจในความสำเร็จ และมีกำลังใจในการเรียนต่อไป อีกทั้งยังสามารถแก้ไขพัฒนาผลงานของนักเรียนให้ดีขึ้นโดยลำดับได้อีกด้วย<br />
5.4 ตู้เก็บสื่อการเรียนการสอน เช่น บัตรคำ แผนภูมิ ภาพพลิก กระดาษ สี กาว ฯลฯ ควรจัดไว้ให้เป็นระเบียบ เป็นสัดส่วน สะดวกต่อการหยิบใช้ อุปกรณ์ชิ้นใดที่เก่าเกินไปหรือไม่ใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้ในตู้ให้ดูรกรุงรัง<br />
5.5 การประดับตกแต่งห้องเรียน ครูส่วนใหญ่มักนิยมประดับตกแต่งห้องเรียนด้วยสิ่งต่าง ๆ เช่น ม่าน มู่ลี่ ภาพ ดอกไม้ คำขวัญ สุภาษิต ควรตกแต่งพอเหมาะไม่ให้ดูรกรุงรัง สีสันที่ใช้ไม่ควรฉูดฉาด หรือใช้สีสะท้นแสง อาจทำให้นักเรียนเสียสายตาได้ การประดับตกแต่งห้องเรียน ควรคำนึงถึงหลักความเรียบง่าย เป็นระเบียบ ประหยัด มุ่งประโยชน์ และสวยงาม<br />
5.6 มุมเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ตลอดจนชั้นวางเครื่องมือเครื่องใช้ของนักเรียน เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แก้วน้ำ กล่องอาหาร ปิ่นโต ฯลฯ ควรจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ และหมั่นเช็ดถูให้สะอาดเสมอลักษณะห้องเรียนที่ดีลักษณะของชั้นเรียนที่ดีเพื่อให้การจัดชั้นเรียนที่ถูกต้องตามหลักการ ผู้สอนควรได้ทราบถึงลักษณะของชั้นเรียนที่ดี สรุปได้ดังนี้<br />
1. ชั้นเรียนที่ดีควรมีสีสันที่น่าดู สบายตา อากาศถ่ายเทได้ดี ถูกสุขลักษณะ<br />
2. จัดโต๊ะเก้าอี้และสิ่งที่ที่อยู่ในชั้นเรียนให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน และกิจกรรมประเภทต่างๆ<br />
3. ให้นักเรียนได้เรียนอย่างมีความสุข มีอิสรเสรีภาพ และมีวินัยในการดูแลตนเอง<br />
4. ใช้ประโยชน์ชั้นเรียนให้คุ้มค่า ครูอาจดัดแปลงให้เป็นห้องประชุม ห้องฉายภาพยนตร์และอื่น ๆ<br />
5. จัดเตรียมชั้นเรียนให้มีความพร้อมต่อการสอนในแต่ละครั้ง เช่น การทำงานกลุ่ม การสาธิตการแสดงบทบาทสมมุติ<br />
6. สร้างบรรยากาศให้อบอุ่น ให้ความเป็นกันเองกับผู้เรียน</div>เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-1174788777302067072010-02-10T08:15:00.000-08:002010-02-24T20:27:16.621-08:00ผู้นำในดวงใจ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh39A5WzaHKGHs_BUEAvXEl80Tf6a3vr8wwpHMC2rWhsupqnNXDrHYfBwr-hP6udgCSmpSCohxinqZYiW5Cjak2nX9azlH1nPiKfPp2GnWoDSKgh0HrMpIXVNgNU6gmf1jG5P6p1dC12a7T/s1600-h/52751%5B1%5D.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436655877629830594" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh39A5WzaHKGHs_BUEAvXEl80Tf6a3vr8wwpHMC2rWhsupqnNXDrHYfBwr-hP6udgCSmpSCohxinqZYiW5Cjak2nX9azlH1nPiKfPp2GnWoDSKgh0HrMpIXVNgNU6gmf1jG5P6p1dC12a7T/s320/52751%5B1%5D.gif" style="cursor: hand; float: right; height: 320px; margin: 0px 0px 10px 10px; width: 292px;" /></a><br />
<div><span style="color: red;"><span style="font-size: 130%;">พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์</span><br />
</span>พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธาน<a href="http://politicalbase.in.th/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="องคมนตรี">องคมนตรี</a>และรัฐบุรุษ นายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 16 ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2531และเป็นนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของรัฐสภาที่ครองอำนาจยาวนานที่สุด ทั้งนี้เพราะกฎหมายไทยในสมัยนั้นไม่ได้กำหนดให้รัฐสภาต้องเลือกนายกรัฐมนตรีจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
บุคลิกส่วนตัวพลเอก เปรมเป็นคนพูดน้อย ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จะให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนน้อยมาก จนถูกหนังสือพิมพ์ในขณะนั้นเรียกขานว่า เตมีย์ใบ้<br />
หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอก เปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี<br />
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เกิดที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เป็นบุตรชายคนรองสุดท้อง จากจำนวน 8 คน ของรองอำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ต้นตระกูลติณสูลานนท์ กับนางวินิจทัณฑกรรม(ออด ติณสูลานนท์) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา สงขลา ในหมายเลขประจำตัว 167 และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2480 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่นที่ 5 สังกัดเหล่าทหารม้า (โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2477 ต่อมาคือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) พลเอก เปรม จบการศึกษาหลักสูตรพิเศษโรงเรียนเทคนิคทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2484 และเข้ารบในสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ที่ ปอยเปต กัมพูชา จากนั้นเข้าสังกัดกองทัพพายัพ ภายใต้การบังคับบัญชาของหลวงเสรีเริงฤทธิ์ ทำการรบในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่าง พ.ศ. 2485-2488 ที่เชียงตุง ภายหลังสงคราม พลเอก เปรมรับราชการอยู่ที่อุตรดิตถ์ และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่โรงเรียนยานเกราะของกองทัพบกสหรัฐ ที่ ฟอร์ตน็อกซ์ มลรัฐเคนตักกี พร้อมกับพลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ และพลเอกวิจิตร สุขมาก เมื่อ พ.ศ. 2495 แล้วกลับมารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการโรงเรียนยานเกราะ ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า ที่จังหวัดสระบุรี พลเอก เปรมได้รับพระบรมราชโองการเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ยศพลตรี เมื่อ พ.ศ. 2511 ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า นี้เอง ที่เป็นที่มาของชื่อที่เรียกแทนพลเอก เปรมอย่างกว้างขวางว่า ป๋า หรือ ป๋าเปรม เนื่องจากท่านมักเรียกแทนตัวเองต่อผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าว่า "ป๋า" และเรียกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่าอย่างเอ็นดูและเป็นกันเองว่า "ลูก" ที่เรียกติดปากกันมาจนถึงปัจจุบัน พลเอก เปรม ย้ายไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ในปี พ.ศ. 2516 และเลื่อนเป็นแม่ทัพภาคทึ่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2517 ได้เลื่อนยศเป็นพลเอก<br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: red;">ประวัติส่วนตัว</span><br />
วันเดือนปีเกิด : 26 สิงหาคม 2463<br />
สถานที่เกิด : บ้านบ่อยาง เลขที่ ๗๘๘ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา<br />
ชื่อบิดา-มารดา : เป็นบุตรของรอง อำมาตย์โทหลวงวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ตำแหน่งพะทำมะรง (พัศดี) เมืองสงขลา (พ.ศ. ๒๔๕๗) กับนางวินิจทัณฑกรรม (ออด ติณสูลานนท์)<br />
<span style="color: red;">พี่น้อง</span>นายชุบ ติณสูลานนท์<br />
นายเลข ติณสูลานนท์ (ถึงแก่กรรม)<br />
นางขยัน (ติณสูลานนท์ ) โมนยะกุล<br />
นายสมนึก ติณสูลานนท์<br />
นายสมบุญ ติณสูลานนท์ (ถึงแก่กรรม)<br />
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์<br />
เด็กหญิงปรี ติณสูลานนท์ (ถึงแก่กรรม)<br />
นายวีระณรงค์ ติณสูลานนท์ (ถึงแก่กรรม)<br />
ชื่อ “เปรม” นั้น ท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนี (แบน คณฐภรโณ - เปรียญ) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้ตั้งให้ ในคำไว้อาลัยแด่ท่านเจ้าคุณรัตน-ธัชมุนี (แบน คณฐาภรโณ) เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๓ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้เขียนคำไว้อาลัยตอนหนึ่งว่า “อนึ่งท่านเจ้าคุณและบิดาของผมเป็นศิษย์ร่วมอุปัชฌาย์อาจารย์เดียวกันและ บิดาของกระผมเป็นผู้กราบนมัสการขอให้ท่านเจ้าคุณตั้งชื่อให้กระผม จึงนับได้ว่าท่านเจ้าคุณเป็นผู้มีพระคุณต่อกระผมเป็นส่วนตัวด้วย” ส่วนนามสกุล “ติณสูลานนท์” นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ พระราชทานให้ เมื่อ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๒<br />
พลเอกเปรม ชื่นชอบดูการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะกีฬามวยและฟุตบอล มักเปิดโอกาสให้นักกีฬาเข้าพบเพื่อคารวะ และให้กำลังใจ ก่อนจะเดินทางไปแข่งขันในต่างประเทศอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังชื่นชอบการร้องเพลง ระยะหลังได้ฝึกหัดเล่นเปียโนกับ ณัฐ ยนตรรักษ์ และประพันธ์เพลงเป็นงานอดิเรก พลเอกเปรมมีผลงานเพลงบันทึกเสียงจำหน่าย บรรเลงดนตรีโดย กองดุริยางค์ทหารบก<br />
<span style="color: red;">ประวัติการศึกษา</span><br />
พ.ศ. ๒๔๖๙ เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา มีเลขประจำตัว ๑๖๗ และมีความประทับใจในขณะได้รับการศึกษา คือ เริ่มเรียนครั้งแรกจนจบมัธยมศึกษาปีที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๗๘<br />
ในสมัยเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๗๖ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเยี่ยมโรงเรียน และทรงพระดำเนินเยี่ยมในห้องเรียน ท่านก็ทรงอ่านสมุดวิชา “สรีรศาสตร์” ของเด็กชายเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่ง ฯพณฯ ถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เด็กชายเปรม ติณสูลานนท์ กับเด็กชายอิ่ม นิลรัตน์ ผลัดกันสอบได้ที่ ๑ มาโดยตลอดจนครูแยกห้องเรียนกัน และเด็กชายเปรม เคยได้รับ ”เกียรติบัตรหมั่นเรียน” เพราะเรียนดีไม่เคยสาย ไม่เคยขาดเรียน ได้ทุกปี เป็นนักกีฬาประเภทวิ่งผลัด และนักฟุตบอลของโรงเรียน เป็นนายหมู่ลูกเสือตรี ขณะนั้นเรียนมัธยมปีที่ ๕ ข. ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๗๙ เข้าเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัยแผนกวิทยาศาสตร์ มีเลขประจำตัว ๗๕๘๗ เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๗ - ๘ ได้เข้าเรียนในเมืองหลวง โดยพี่ชายชื่อชุบ ติณสูลานนท์ ขณะเรียนอาศัยอยู่บ้านของพระยาบรรณสิทธทัณฑการ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๑ เข้าเรียนโรงเรียน “เท็คนิคทหารบก” หรือโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในปัจจุบัน ขณะเรียนต้องการเป็นทหารปืนใหญ่ แต่พอเกิดสงครามจึงต้องเปลี่ยนมาเลือกเป็นทหารม้า<br />
พ.ศ. ๒๔๘๔ สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรพิเศษของโรงเรียนเท็ฆนิคทหารบก (จปร) นักเรียนนายร้อยรุ่นนี้รับการศึกษาไม่ครบ ๕ ปี ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ คือต้องใช้เวลาการศึกษาเพียง ๓ ปี เท่านั้น เพราะต้องออกมาเป็นผู้บังคับหมวดตั้งแต่มีสภาพเป็นนักเรียนนายร้อย<br />
<span style="color: red;">ประวัติการรับราชการ</span>๓ มกราคม ๒๔๘๔ เป็นผู้บังคับหมวดประจำกรมรถรบ ทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบหลักสูตร เนื่องจากเกิดกรณีพิพาทในอินโดจีนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศส นับเป็นการเข้าสู่สงครามครั้งแรก<br />
๒๐ มกราคม ๒๔๘๔ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ว่าที่ร้อยตรี เปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่ได้เข้าพิธีพระราชทานกระบี่จากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากต้องไปประจำการอยู่ที่สนามรบปอยเปต ประเทศเขมร (รับกระบี่ในสนามรบ) มกราคม ๒๔๘๕ - ๒๔๘๘ ได้รับแต่งตั้งให้ไปสงครามอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งที่ ๒ (สงครามมหาเอเซียบูรพา) เป็นผู้หมวดตอนแรก เป็นกองหนุนของกองทัพคือกองทัพพายัพ ซึ่งมีหลวงเสรีเริงฤทธิ์เป็นแม่ทัพ กองบัญชาการอยู่ที่ลำปาง ต่อมากองทัพเคลื่อนย้ายไปอยู่เชียงราย และได้รับคำสั่งให้ไปขึ้นอยู่กับกองพล ๓ ที่เชียงตุง จนได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก และได้รับคำสั่งให้เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ลพบุรี<br />
๒๓ กรกฎาคม ๒๔๘๙ เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กองพันที่ ๑ กรมรถรบ<br />
๔ ธันวาคม ๒๔๘๙ เข้าศึกษาเป็นนายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนนายทหารม้า<br />
๒๙ สิงหาคม ๒๔๙๐ รักษาราชการรองผู้บังคับกองร้อย<br />
๘ เมษายน ๒๔๙๒ รักษาราชการผู้บังคับกองพันที่ ๑<br />
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓ เป็นผู้บังคับกองร้อยที่ ๓ กองพันทหารม้าที่ ๔ จังหวัดอุตรดิตถ์<br />
๑ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นรองผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ ๔<br />
๗ กรกฏาคม ๒๔๙๓ เป็นรองผู้บังคับการจังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์<br />
๓ มีนาคม ๒๔๙๕ เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศเนื่องจากรับทุนจากกองทัพบกโดยการสอบแข่งขันได้ ไปศึกษาต่อที่ THE UNITED STATES ARMY ARMOR SCHOOL ฟอร์ทนอกซ์ ซึ่งอยู่ที่รัฐแคนตั๊กกี้ สหรัฐอเมริกา<br />
๒๔ เมษายน ๒๔๙๖ เป็นอาจารย์ในแผนกวิชายุทธวิธี กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ (บริเวณเกียกกาย) กรุงเทพมหานคร<br />
๓๐ ธันวาคม ๒๔๙๗ เป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ ๕ กรมทหารม้าที่ ๒ และรักษาราชการอาจารย์แผนกวิชาทหาร กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ<br />
๑๖ ธันวาคม ๒๔๙๘ เป็นอาจารย์หัวหน้าแผนกวิชาทหาร กองการศึกษา โรงเรียนยานเกราะ กองพลทหารม้า<br />
๑๐ มีนาคม ๒๕๐๑ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า<br />
25 ธันวาคม ๒๕๐๑ เป็นรองผู้บัญชาการโรงเรียนทหารม้ายานเกราะ ศูนย์การทหารม้า<br />
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ<br />
พ.ศ. ๒๕๐๓ เข้าศึกษาการวิทยาลัยการทัพบก หลักสูตรพิเศษชุดที่ ๒ (ยศพันเอก)<br />
พ.ศ.๒๕๐๙ เข้าศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ ๙ (ยศพันเอก)<br />
๔ กรกฏาคม ๒๕๑๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๑๑ เป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า<br />
๑๔ เมษายน ๒๕๑๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวร<br />
๑๘ กรกฏาคม ๒๕๑๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์<br />
พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๕ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์เวรสืบต่อไป<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นรองแม่ทัพภาคที่ ๒<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๑๗ เป็นแม่ทัพภาคที่ ๒<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๑๘ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองครักษ์พิเศษ<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ทั่วไปฝ่าย ทหาร และเป็นผู้ข่วยผู้บัญขาการทหารบก มียศเป็นพลเอก<br />
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีข่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย<br />
๒๗ กรกฏาคม ๒๕๒๑ เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์<br />
๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ เป็นผู้บัญชาการทหารบก<br />
๔ ธันวาคม ๒๕๒๑ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์<br />
๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
๑๒ กรกฏาคม ๒๕๒๒ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์<br />
๓ มีนาคม ๒๕๒๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี<br />
๒๓ เมษายน ๒๕๒๓ ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๖๖/๒๓ เรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ อันนำไปสู่การยุติสงครามกลางเมืองลงอย่างเด็ดขาด<br />
๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖<br />
๕ สิงหาคม ๒๕๒๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๙<br />
๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้เป็น<a href="http://politicalbase.in.th/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="องคมนตรี">องคมนตรี</a> และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์อัน เป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดสำหรับสามัญชน ให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ประกาศยกย่องพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น รัฐบุรุษ<br />
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้นำพลเอก <a class="new" href="http://politicalbase.in.th/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2_%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%A3&action=edit" title="สุจินดา คราประยูร">สุจินดา คราประยูร</a> นายกรัฐมนตรี และพลตรี <a class="new" href="http://politicalbase.in.th/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87_%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&action=edit" title="จำลอง ศรีเมือง">จำลอง ศรีเมือง</a> หัวหน้าพรรคพลังธรรมและผู้นำกลุ่มมวลชน ในการชุมนุมคัดค้านนายกรัฐมนตรีที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเจรจาปรับความเข้าใจกัน และให้ยุติการก่อความวุ่นวายในประเทศ เหตุการณ์นี้ ประชาชนเรียกว่า “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ขัดแย้งระหว่างประชาชนในชาติอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นการแก้ไขเหตุการณ์ที่ได้รับการยกย่องจากประชาชนเป็นอย่างมาก<br />
<span style="color: red;">การเมือง</span><br />
ในปี พ.ศ. 2502 ในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกเปรมได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ และวุฒิสมาชิก ช่วง พ.ศ. 2511 - 2516 ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร พลเอก เปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร พลเอก เปรม รับตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกในรัฐบาลพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลนั้น ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบคู่กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงนั้น พลเอก เปรมได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย หลังจากพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 สภาผู้แทนราษฎรทำการหยั่งเสียงเพื่อหาตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเลือกพลเอกเปรม โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย<br />
<span style="color: red;">ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี</span><br />
สมัยที่ 1 คณะรัฐมนตรี คณะที่ 42 : 3 มีนาคม 2523 - 29 เมษายน 2526 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 19 มีนาคม 2526 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบกับการเสนอให้ยืดอายุการใช้บทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มีการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526<br />
สมัยที่ 2 คณะรัฐมนตรี คณะที่ 43 : 30 เมษายน 2526 - 4 สิงหาคม 2529 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา ในการออกพระราชกำหนดการขนส่งทางบก มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529<br />
สมัยที่ 3 คณะรัฐมนตรี คณะที่ 44 : 5 สิงหาคม 2529 - 3 สิงหาคม 2531 สิ้นสุดลงภายหลังการยุบสภา ในวันที่ 29 เมษายน 2531 เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ เกิดกลุ่ม 10 มกรา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างเป็นเอกเทศภายในพรรค กลุ่ม 10 มกรา นี้ลงมติไม่สนับสนุนพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา จนทำให้พระราชบัญญัติไม่ผ่านการเห็นชอบ พรรคประชาธิปัตย์แสดงความรับผิดชอบโดยการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พลเอกเปรมจึงประกาศยุบสภา มีการเลือกตั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2531<br />
ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเปรม ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง มีกระแสการคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 จากกลุ่มนักวิชาการ<br />
ภายหลังการเลือกตั้ง ในคืนวันที่ 27 กรกฎาคม 2531 หัวหน้าพรรคการเมืองที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคชาติไทยเป็นแกนนำ ได้เข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านพัก เพื่อเชิญให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 4 แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ ต่อมาในวันที่ 4 สิงหาคม 2531 จึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17<br />
หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเปรม เป็นองคมนตรี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2531 จากนั้นในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ และในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2541 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นประธานองคมนตรี<br />
<span style="color: red;">บทบาทในวิกฤตการณ์การเมืองและการรัฐประหาร พ.ศ. 2549</span><br />
หลังการทำรัฐประหาร พ.ศ. 2549 มีนักวิชาการกล่าวหาพลเอกเปรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ที่นำไปสู่ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งในเวลาพลบค่ำวันที่ 19 กันยายน ช่่่วงเดียวกับที่กำลังทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี ได้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ พลเอกเปรม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นาย<a class="new" href="http://politicalbase.in.th/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%AA_%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2&action=edit" title="สุริยะใส กตะศิลา">สุริยะใส กตะศิลา</a> ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นผู้สั่งการให้ทำรัฐประหารโดยนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศร์ ในเวลาต่อมา ยังเป็นที่กล่าวหาอีกว่า พลเอกเปรม อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเชิญ พลเอก<a href="http://politicalbase.in.th/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C_%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C" title="สุรยุทธ์ จุลานนท์">สุรยุทธ์ จุลานนท์</a> อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตลูกน้อง มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อีกด้วย จนกระทั่ง นักวิจารณ์ บางคน ถึงกับกล่าวว่า สภาฯ ชุดนี้ เต็มไปด้วย "ลูกป๋า" ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมือง ในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 และมีบทวิเคราะห์จากสำนักข่าว XFN-ASIA ระบุในเว็บไซต์ นิตยสารฟอร์บ ว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตามรัฐบาลคณะทหาร ได้อ้างว่า พลเอกเปรมไม่เคยมีบทบาททางการเมือง วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นปก. นับพันคน รวมตัวประท้วงหน้าบ้านของพลเอกเปรม เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เนื่องจากเชื่อว่ามีบทบาททางการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุม มีการยิงแก๊สพริกไทยแล้วล้อมรถบรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงของแกนนำ ผู้ชุมนุมขว้างปาขวดพลาสติกและขวดแก้วใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เกิดการปะทะกันชุลมุนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายคน ด้านแยกสี่เสาเทเวศร์ กลุ่ม นปก.ส่วนหนึ่งทุบทำลายซุ้มตำรวจจราจรและทุบรถส่องไฟและกระจายเสียงของตำรวจที่จอดไว้ รวมทั้งปล่อยลมยางรถยนต์ ในวันต่อมา พลเอกสนธิ พลเอกสุรยุทธ และคณะรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมพลเอกเปรม เพื่อขอโทษที่ยอมให้มีการประท้วง<br />
<br />
<span style="color: red;"></span><br />
<span style="color: red;"></span></div>เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-17064277282904594422010-02-10T07:52:00.000-08:002010-02-24T20:27:56.037-08:00<a href="http://myblogteetee.blogspot.com/2010/01/8.html"><span style="font-size: 130%;">ใบงานที่8</span></a> ให้ผู้เรียนสรุปรายงานจากกลุ่มที่ 9-10-11-12 ลงในบล็อกของผู้เรียนอย่างย่อ ๆ<br />
<span style="color: red;">กลุ่มที่ 9</span> <span style="color: red;">เรื่อง การเขียนโครงการแลละการบริหารรการจัการโครงการเพื่อพัฒนานักเรียนและสถานศึกษา</span> โครงการที่กำหนดขึ้นแม้เป็นโครงการที่มีลักษณะดีเพียงใด แต่ตัวโครงการก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาต่างๆ ขององค์การ หน่วยงาน หรือ สังคมของชนกลุ่มใหญ่ ตามที่ได้เขียนไว้ในโครงการได้ทั้งหมด เพราะการดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในโครงการยังมีส่วนประกอบหรือปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่อาจทำให้การดำเนินงานของโครงการบรรลุถึงเป้าหมายอย่างด้อยประสิทธิภาพ นอกจากนี้โครงการหนึ่งอาจเป็นโครงการที่ดีที่สุดในระยะหนึ่ง แต่อาจเป็นโครงการที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยในอีกเวลาหนึ่งก็เป็นไปได้ผู้เขียนหรือกลุ่มผู้เขียนโครงการอาจจะเป็นคนละคนกับผู้ดำเนินงานตามโครงการหรืออาจจะเป็นคนๆ เดียวกันหรือกลุ่มๆเดียวกันก็ย่อมได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดและชนิดขอโครงการลักษณะของโครงการและอื่นๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโครงการจะมีขนาดเช่นใด ชนิดและประเภทใด ย่อมต้องมีรูปแบบ (Form) หรือโครงสร้าง (Structure) ในการเขียนที่เหมือนกันดังนี้<br />
1. ชื่อโครงการ<br />
2. หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ<br />
3. ผู้รับผิดชอบโครงการ<br />
4. หลักการและเหตุผล<br />
5. วัตถุประสงค์และเป้าหมาย<br />
6. วิธีดำเนินการ<br />
7. แผนปฏิบัติงาน<br />
8. ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ<br />
9. งบประมาณและทรัพยากรที่ต้องใช้<br />
10. การติดตามและประเมินผลฃโครงการ<br />
<a name='more'></a><br />
สรุปแล้วการเขียนโครงการแบบประเพณีนิยมจะต้องมีเนื้อหาสาระที่ละเอียดชัดเจนเฉพาะเจาะจง โดยรูปแบบของโครงการจะสามารถตอบคำถามดังต่อไปนี้ได้ คือ (ประชุม, 2535)<br />
1. โครงการอะไร หมายถึง ชื่อโครงการ<br />
2. ทำไมต้องทำโครงการนั้น หมายถึง หลักการและเหตุผล<br />
3. ทำเพื่ออะไร หมายถึง วัตถุประสงค์<br />
4. ทำในปริมาณเท่าใด หมายถึง เป้าหมาย<br />
5. ทำอย่างไร หมายถึง วิธีดำเนินการ<br />
6. ทำเมื่อใดและนานแค่ไหน หมายถึง ระยะเวลาดำเนินการ<br />
7. ใช้ทรัพยากรอะไร เท่าใด และได้จากไหน หมายถึง งบประมาณและทรัพยากรอื่นๆ<br />
8. ใครทำ หมายถึง ผู้รับผิดชอบโครงการ<br />
9. ต้องทำกับใคร หมายถึง หน่วยงานหรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน<br />
10. ทำได้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่ หมายถึง การประเมินผล<br />
11. เกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงการ หมายถึง ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />
12. มีปัญหาอุปสรรคหรือไม่ หมายถึง ข้อเสนอแนะโครงการทุกโครงการ หากผู้เขียนโครงการสามารถตอบคำถามทุกคำถามดังกล่าวได้ทั้งหมด อาจถือได้ว่าเป็นการเขียนโครงการที่มีความสมบูรณ์ในรูปแบบ และหากการตอบคำถามได้อย่างมีเหตุผลและมีหลักการ ย่อมถือได้ว่าโครงการที่เขียนขึ้นนั้นเป็นโครงการที่ดี นอกจากจะได้รับการพิจารณาอนุมัติโดยง่ายแล้ว ผลของการดำเนินงานมักจะมีประสิทธิภาพด้วย<br />
<span style="color: red;">กลุ่มที่ 10 เรื่อง การวางแผนพัฒนาคุณภาพ</span><br />
1. ปกระบุชื่อสถานศึกษา ชื่อแผน และช่วงเวลาที่ใช้แผน<br />
2. คำนำ<br />
3. สารบัญ<br />
4. ภาพรวมของสถานศึกษา ประกอบด้วย<br />
4.1 ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษาบรรยายสรุปสาระสำคัญสั้น ๆ เพื่อความ เข้าใจในบริบท กระบวนการจัดการศึกษาในชุมชน สาระข้อมูลอาจประกอบด้วย<br />
4.1.1 ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา เช่น จำนวนบุคลากร ทรัพยากร สิ่งอำนวยความสะดวก อัตราส่วนของข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็น<br />
4.1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชน เช่น สถานภาพทางสังคม และเศรษฐกิจของชุมชนความร่วมมือของชุมชน เป็นต้น การนำเสนอข้อมูลควรเขียนให้สั้น กระชับได้ใจความและควรในกราฟ แผนภูมิ เป็นต้น ในการนำเสนอข้อมูล<br />
4.2 การดำเนินของสถานศึกษาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา โดยกล่าวถึง ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สถานศึกษาภาคภูมิใจ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในสาขาวิชาหลักตามที่กำหนดใน หลักสูตร ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาของประเทศ ของพื้นที่ และหน่วยงานอื่น เป็นต้น ซึ่งควร นำเสนอการดำเนินงานของสถานศึกษา ตามข้อเท็จจริงโดยจำแนกข้อมูลส่วนประกอบหลักของระบบการ จัดการศึกษา ได้แก่ หลักสูตรการเรียนการสอน การพัฒนาวิชาชีพ การจัดองค์กร และสิ่งแวดล้อมของ สถานศึกษาและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน<br />
4.3 สรุปสถานภาพปัจจุบันของสถานศึกษาและปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ชี้ให้เห็นสภาพ จุดเด่นของสถานศึกษา สภาพปัญหา อุปสรรค และจุดด้อยของสถานศึกษา สิ่งที่ท้าท้าย ความสามารถของสถานศึกษา และประเด็นสำคัญที่สถานศึกษากำหนด เพื่อการพัฒนาในระยะต่าง ๆ ได้แก่ ในระยะยาว และรายปี ซึ่งแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา มิได้กำหนดตายตัวว่ารอบระยะเวลาของ แผนจะครอบคลุมกี่ปี ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะกำหนดรอบระยะเวลาได้ตามความ เหมาะสม และวิถีการปฏิบัติของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ซึ่งอาจจัดทำเป็นแผน 1 ปี หรือ ระยะเวลายาวขึ้น เป็น 2-3 ปี ก็ได้<br />
5. เจตนารมณ์ของสถานศึกษา เพื่อสร้างความเข้าใจปณิธานที่สถานศึกษา และชุมชนยึดมั่น และหล่อหลอมเป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษาในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นสู่คุณภาพของผู้เรียน การ นำเสนอเจตนารมณ์ของสถานศึกษา ในแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาแต่ละแห่งอาจแตกต่างกัน บางแห่ง อาจมีทั้งวิสัยทัศน์และภารกิจ บางแห่งอาจละไว้ไม่เขียนข้อความวิสัยทัศน์ แต่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ และ ตามด้วยภารกิจของสถานศึกษา เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ร่วมในการปฏิบัติ สถานศึกษาจะมีแนวทางในการเขียน เช่นใดก็ตาม ทั้งนี้สิ่งที่เขียนจะต้องสะท้อนให้เห็นอุดมการณ์ หลักการ คุณค่า หรือความเชื่อร่วมที่ สถานศึกษา และชุมชนยึดมั่น เพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานที่มีคุณค่าที่ดีที่สุดต่อผู้เรียน<br />
5.1 วิสัยทัศน์ เป็นเจตนารมณ์ หรือความตั้งใจที่กว้าง ครอบคลุมทุกเรื่องของสถานศึกษา และ เน้นการคิดไปข้างหน้าเป็นสำคัญ แสดงถึงความคาดหวังในอนาคต โดยมิได้ระบุวิธีดำเนินงานเอกลักษณ์ของสถานศึกษา และความ ยาวประมาณ 3-5 ประโยค<br />
5.2 ภารกิจ (หรือพันธกิจ) เป็นข้อความที่แสดงเจตนารมณ์ และวิธีการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุถึง วิสัยทัศน์ ซึ่งมีลักษณ์ค่อนข้างเป็นนามธรรม ข้อความ ภารกิจแสดงว่าสถานศึกษาปรารถนาที่จะสัมฤทธิผล อะไรในปัจจุบัน และยังนำไปสู่การวางแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมของบุคลากรด้วย<br />
5.3 เป้าหมาย (หรือจุดมุ่งหมาย) เพื่อให้ภารกิจที่กำหนดมีความเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สถานศึกษาจะต้องกำหนดเป้าหมายที่ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของ สถานศึกษา เช่น ในด้านผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้านหลักสูตร และการเรียนการสอนสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ การจัดองค์กร การพัฒนาวิชาชีพ และการมีส่วนร่วมจัดการศึกษาของชุมชน เป็นต้น เป้าหมายที่กำหนดให้ ระดับนี้เป็นผลลัพธ์ปลายทางที่สถานศึกษาคาดหวังจะบรรลุผลภายในช่วงเวลาที่กำหนด ลักษณะการเขียน ยังเป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังกว้าง ๆ<br />
6. เป้าหมายการพัฒนา (หรือวัตถุประสงค์) และยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ สถานศึกษา6.1 เป้าหมายการพัฒนาเป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เป้าหมายนี้ได้จาก ประเด็นสำคัญการพัฒนาอันมาจากการวิเคราะห์ความต้องการและความจำเป็น แล้วกำหนดระยะเวลาที่จะ พัฒนาว่าเป็น 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปี<br />
6.2 ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ระบุยุทธศาสตร์ที่สถานศึกษาใช้ อันเป็น ยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ มีงานวิจัยรองรับ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาให้บรรลุผล ตามเป้าหมายได้โดยปกติแต่ละเป้าหมายการพัฒนาจะมีหลายยุทธศาสตร์รองรับเพื่อให้สามารถนำไปสู่การ ปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
7. แผนปฏิบัติการประจำปี เป็นแผนที่กำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการในแต่ละปี เพื่อให้ บรรลุผลตามเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อ 6 ดังนั้นแผนปฏิบัติการประจำปี ประกอบด้วย สังเขปรายละเอียดของกิจกรรม หรือขั้นตอนการ ปฏิบัติเพื่อในบรรลุผลตามยุทธศาสตร์ และเป้าหมายการพัฒนาที่กำหนด ผู้รับผิดชอบแต่ละกิจกรรม หรือ ขั้นตอนการปฏิบัติ กรอบเวลา งบประมาณ และแหล่งงบประมาณรูปแบบการเขียนนิยมใช้ตาราง ซึ่งจะช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงตั้งแต่เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ มาตรฐานที่เป็นจุดเน้นของการพัฒนา วิธีการประเมินผล ตัวบ่งชี้สภาพความสำเร็จ ผู้รับผิดชอบ กรอบ เวลา งบประมาณสำหรับแต่ละกิจกรรม<br />
8. การระดมทรัพยากร แหล่งสนับสนุนงบประมาณ และสรุปงบประมาณในแผนพัฒนา คุณภาพสถานศึกษา จะบอกจำนวนงบประมาณรวมที่จะต้องใช้ในแต่ละปี และแหล่งที่สถานศึกษาจะ สามารถระดมทรัพยากรและการสนับสนุนด้านงบประมาณได้ สำหรับแผนงบประมาณจะเป็นการ ดำเนินงานแยกจากแผนปฏิบัติการายปี9. การประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน และแหล่งวิทยาการภายนอก เพื่อการสนับสนุน ทางวิชาการและอื่น ๆ เพื่อการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยระบุว่าจะขอความ ร่วมมือจากหน่วยงานใด ในเรื่องใด เป็นต้น<br />
10. การแสดงภาระความรับผิดชอบการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เป็นการประเมิน คุณภาพผู้เรียน การประเมินความก้าวหน้าของสถานศึกษา การผดุงระบบคุณภาพของสถานศึกษา และการ รายงานผลการปฏิบัติของสถานศึกษาต่อผู้เรียน บิดา มารดา ผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง11. กระบวนการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา และการขอรับความเห็น<br />
<span style="color: red;">กลุ่มที่ 11 เรื่อง การบริหารการจัดการเพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.การศึกษา</span><span style="color: red;">แห่งชาติ พ.ศ.2542</span><br />
ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจังและเพื่อสนองต่อความต้องการของผู้รับบริการทางการศึกษา สถานศึกษาควรดำเนินการดังนี้<br />
1. สถานศึกษาจะต้องดำเนินการประกันคุณภาพภายในเป็นประจำทุกปี<br />
2. ให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารจัดการศึกษา และการทำงานของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการกำหนดเป้าหมายหรือมาตรฐานการศึกษาที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายและหลักการตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน และดำเนินงานตามแผน ติดตามประเมินผลการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่อง และนำผลการประเมินมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เกิดกับผู้เรียนเป็นสำคัญ ไม่ใช่มุ่งเน้นการจับผิดหรือให้คุณให้โทษบุคลากรของสถานศึกษา<br />
3. การดำเนินการประกันคุณภาพทุกขั้นตอนให้เน้นการประสานงานและการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา กรรมการโรงเรียน ผู้ปกครอง บุคลากรของหน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน เขตพื้นที่การศึกษาและภูมิภาคเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการในการให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ โดยสถานศึกษาควรช่วยเตรียมพร้อมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความตระหนัก เห็นคุณค่าและมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันคุณภาพการศึกษา4. สถานศึกษาจะต้องจัดทำรายงานประจำปีการศึกษาให้เรียบร้องภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยให้แสดงผลการประเมินคุณภาพการศึกษา แนวทางหรือแผนงานในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาในปีการศึกษาต่อไป แล้วเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงกำหนด และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ตลอดจนสาธารณชน โดยจัดทำรายงานโดยสรุป ปิดประกาศไว้ที่โรงเรียน แจังให้ผู้ปกคองและเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้รับทราบ รวมทั้งมีรายงานฉบับสมบูรณ์ที่พร้อมจะให้ผู้ที่สนใจขอดูได้ตลอดเวลา<br />
5. จัดเตรียมเอกสารหลักฐานและข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา และมาตรฐานการศึกษาเพื่อการประเมินคุณภาพภายนอก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน และแนวทางการจัดการศึกษษ ตามหลักการและจุดมุ่งหมายของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ และเตรียมพร้อมเพื่อรับการประเมินคุณภาพภายนอก โดยบุคลากรที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกรอบห้าปีประโยชน์ของการประกันคุณภาพการศึกษาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาจะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการและการพัฒนาการศึกษาทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย/การวางแผน การทำตามแผน การประเมินผล และการนำผลการประเมินมาปรับปรุงการดำเนินงาน นอกจากนี้การประกันคุณภาพการศึกษายังเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดังนี้· ผู้เรียนและผู้ปกครองมีหลักประกันและความมั่นใจว่าสถานศึกษาจะจัดการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด· ครูได้ทำงานอย่างมืออาชีพ ได้ทำงานที่เป็นระบบที่ดี มีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ และเน้นวัฒนธรรมคุณภาพ ได้พัฒนาตนเองและผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ปกครองและชุมชน· ผู้บริหารได้ใช้ภาวะผู้นำ และความรู้ความสามารถในการบริหารงานอย่างเป็นระบบ และมีความโปร่งใส เพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับและนิยมชมชอบของผู้ปกครองและชุมชน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและเป็นประโยชน์ต่อสังคม· หน่วยงานที่กำกับดูแลได้สถานศึกษาที่มีคุณภาพและศักยภาพในการพัฒนาตนเอง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระในการกำกับดูแลสถานศึกษา และก่อให้เกิดความมั่นใจในคุณภาพพทางการศึกษา และคุณภาพของสถานศึกษา· ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคม และประเทศชาติได้เยาวชนและคนที่ดีมีคุณภาพและศักยภาพที่จะช่วยทำงานพัฒนาองค์กร ชุมชน สังคมและประเทศชาติต่อไป<br />
<span style="color: red;">กลุ่มที่ 12 เรื่อง การประเมินคุณภาพการศึกษาการประเมินคุณภาพการศึกษา</span><br />
การประเมินคุณภาพการศึกษา เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพการศึกษา แต่จะเน้นการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย/คณะ/วิทยาลัย กับตัวบ่งชี้คุณภาพในทุกองค์ประกอบของคุณภาพว่า การดำเนินงานเป็นไปตามเกณฑ์และมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดมากน้อยเพียรไร โดยจัดเป็นระดับของการบรรลุเป้าหมาย1 หลักการประเมินคุณภาพ เนื่องจากการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของอุดมศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเพื่อความอยู่รอด การพัฒนา และความสามารถในการแข่งขันทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของประเทศ เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาดังกล่าวข้างต้นอย่างต่อเนื่องก็คือ การประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งต้องครอบคลุมทั้งการประเมินคุณภาพภายนอกสถาบันอุดมศึกษา และการประกันคุณภาพภายในของสถาบันอุดมศึกษา การประเมินคุณภาพภายนอก มีหลักการสำคัญ 5 ประการ ดังต่อไปนี้<br />
1) เป็นการประเมินเพื่อมุ่งให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการ ตัดสิน การจับผิด หรือการให้คุณ - ให้โทษ<br />
2) ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม โปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง ( Evidence - base ) และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ (Accountability)<br />
3) มุ่งเน้นในเรื่องการส่งเสริมและประสานงานในลักษณะกัลยาณมิตรมากกว่าการกำกับควบคุม<br />
4) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพและการพัฒนาการจัดการศึกษาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง<br />
5) มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติตามที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 โดยให้เอกภาพเชิงนโยบาย แต่ยังคงมีความหลากหลายในทางปฏิบัติที่สถาบันสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เต็มตามศักยภาพของสถาบันและผู้เรียน<br />
2 แนวทางในการประเมินภายใน<br />
1) การประเมินภายในเริ่มด้วยการศึกษาตนเองของมหาวิทยาลัย / คณะ / วิทยาลัยที่รับผิดชอบ<br />
2) ประเมินตามภารกิจหลักทั้ง 4 ประการ ของมหาวิทยาลัย / คณะ / วิทยาลัย<br />
3) ผู้บริหาร / คณาจารย์ และนักศึกษา มีส่วนร่วมในการประเมิน<br />
4) ประเมินเพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น<br />
3 วัตถุประสงค์การประเมินคุณภาพวัตถุประสงค์ทั่วไป<br />
1) เพื่อให้ทราบระดับคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาในการดำเนินภารกิจด้านต่างๆ<br />
2) เพื่อกระตุ้นเตือนให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาการศึกษา และประสิทธิภาพการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง 3) เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา<br />
4) เพื่อรายงานสถานภาพและพัฒนาการในด้านคุณภาพและมาตรฐานของสถาบันอุดมศึกษาต่อสาธารณชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวัตถุประสงค์เฉพาะ<br />
1) เพื่อตรวจสอบยืนยันสภาพจริงในการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาและประเมินคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกรอบแนวทางและวิธีการที่สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษากำหนด และสอดคล้องกับระบบการประกันคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัด<br />
2) เพื่อให้ได้ข้อมูลซึ่งช่วยสะท้อนให้เห็นจุดเด่น - จุดที่ควรพัฒนาของสถาบันอุดมศึกษา เงื่อนไขของความสำเร็จ และสาเหตุของปัญหา<br />
3) เพื่อช่วยเสนอแนะแนวทางปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัด<br />
4) เพื่อส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษามีการพัฒนาคุณภาพและประกันคุณภาพภายในอย่างต่อเนื่อง 5) เพื่อรายงานผลการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน<br />
4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ<br />
1) เกิดการพัฒนาคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง เข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล<br />
2) การใช้ทรัพยากรในการบริหารจัดการของสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
3) การบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล อันจะทำให้การผลิตบัณฑิตทุกระดับ การสร้างผลงานวิจัย และการให้บริการวิชาการ เกิดประโยชน์สูงสุด และตรงกับความต้องการของสังคมและประเทศ<br />
4) นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้จ้างงาน และสาธารณชนมีข้อมุลสำหรับการตัดสินใจที่ถูกต้องและเป็นระบบ<br />
5) สถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานบริหารการศึกษา และรัฐบาลมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นระบบในการกำหนดนโยบาย วางแผน และบริหารจัดการศึกษาเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-27490667703604005712010-01-13T18:15:00.001-08:002010-02-24T20:28:22.439-08:00<a href="http://apichatwat500.blogspot.com/2009/12/6.html"><span style="font-size: 130%;">ใบงานครั้งที่ 6</span></a> ให้นักศึกษาศึกษาวัฒนธรรมองค์กรจากเอกสารและในInternet แล้วแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังนี้<br />
<span style="color: red;">1.ความหมายวัฒนธรรมองค์กร คืออะไร</span><br />
วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง สิ่งต่างๆ อันประกอบด้วยสิ่งประดิษฐ์ แบบแผนพฤติกรรม บรรทัดฐาน ความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ ความเข้าใจ และข้อสมมุติพื้นฐานของคนจำนวนหนึ่งหรือส่วนใหญ่ภายในองค์การ<br />
<span style="color: red;">2.ทำไมหากเราไปเป็นครูสอนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เราควรจะศึกษาอะไรบ้างที่จะทำให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข</span>การที่คนเราจะอยู่ในสถานที่ใด สังคมใด เราควรที่จะศึกษาวัฒนธรรมของสิ่งเหล่านั้นให้ดีและปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมนั้นๆให้ได้ โดยมีลักษณะดังนี้1.เราควรศึกษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของบุคคล ศาสนาที่ประชาชนในที่นั้นนับถือ2.เราควรศึกษาลักษณะอาชีพส่วนใหญ่ในพื้นที่3.เราควรศึกษาประเพณี วัฒนธรรมที่มีในพื้นที่<br />
<span style="color: red;">3.รูปแบบวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีมเกิดขึ้นได้อย่างไร</span><br />
1.รับฟังมุมมองที่แตกต่าง ไม่อคติ มีใจเป็นกลาง มีเหตุผล ไม่คิดว่า ความคิดของตนเองถูกแล้ว ดีแล้วเสมอ ไม่คิดว่า ความคิดของคนอื่นผิด หรือ ผิดทั้งหมดเสมอ ไม่พูดจาหรือแสดงออกที่เป็นการดูถูกผู้อื่น<br />
2.ทุกคนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นยอมรับและหาวิธีการที่ผสมผสานให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ไม่เอาแพ้ – ไม่เอาชนะกัน)<br />
3.ไม่คิดว่า เคยทำอย่างไรมา ก็จะต้องทำอย่างนั้นตลอดไป โดยไม่ดูข้อมูลหรือ ปัจจัยที่เปลี่ยนไป (ไม่ใช่อะลุ่มอล่วยด้วยความรู้สึกเห็นใจ)<br />
4.ไม่ตีกรอบการทำงานของตัวเอง แต่จะพิจารณาถึงเป้าหมาย / หลักการ ถ้าเป็นการเพิ่ม Performance ให้กับตัวเองและส่วนรวม จะลองเอาไปคิดและทำดู<br />
5.ไม่หนีปัญหา แต่จะจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหา หากทีมใดกลุ่มใดมีหลักการข้างต้นแล้วจะทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ดีและทำให้การทำงานเป็นทีมนั้นประสบความสำเร็จ<br />
<a name='more'></a><br />
<span style="color: red;">4.การเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร</span><br />
พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลที่เกิดขึ้นจาดอิทธิพลขอบตัวบุคคลและสิ่งแวดล้อมรวมกัน ไม่ใช่จากตัวบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมแต่เพียงอย่างเดียว และย่อมขึ้นอยุ่กับอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมและอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมก็คือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิดความพร้อมในการกระทำกิจกรรมต่างๆ นั้นสิ่งที่มีอิทิพลต่อการเรียนรู้ของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับวัยของมนุญเช่นกัน ในการเรียนรู้จึงต้องมีความเข้าใจถึงระดับความพร้อมของมนุษย์ในวัยต่าง ๆ การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ดังต่อไปนี้<br />
1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่บุคคลเรียนรู้ โดยได้ร่วมกันกระทำโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือได้ลงมือกระทำสิ่งที่จะเรียนรู้จริงนั้น<br />
2. การเรียนรู้ที่แท้จริงจะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์ หรือ ได้รับสิ่งที่ตนต้องการ ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนมีความสนใจ หรือมีความต้องการในบางสิ่งบางอย่าง ผู้เรียนได้ลงมือกระทำกิจกรรมโดยตั้งอกตั้งใจ เพราะมีความสนใจในสิ่งนั้น หรือสิ่งที่ตนต้องการเรียนรู้<br />
3. การเรียนรู้เกาหรือประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว จะกระตุ้นให้เกิดการเรียนใหม่ๆขึ้น โดยเฉพาะกับประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้นเป็นสิ่งที่สมปรารถนาและน่าตื่นเต้น การเรียนรู้ใหม่ๆ ที่สะสมขึ้น เนื่องจากประสบการณ์ก่อนๆ หรือที่สัมพันธ์กับประสบการณ์ก่อนๆ นี้เป็นหลักสำคัญของการเรียนรู้ทุกชนิด<br />
4. การเรียนรู้ทักษะและทัศนะคติใหม่ ๆ เป็นเรื่องของบุคคลแต่ละบุคคลต้องเรียนรู้เองคนเราอาจเรียนรู้เป็นกลุ่มได้ แต่การเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมความคิดเห็นเป็นเรื่องส่วนบุคคลและเป็นรายบุคคล<br />
5.การสอนเป็นการแนะแนวที่จนให้ผู้เรียนรู้จัดช่วยตนเอง เป็นการแนะแนวทางให้การเรียนดำเนินไปด้วยดีการเรียนเป็นกระบวนการอันหนึ่งที่บุคคลจะเปลี่ยนพฤติกรรม ความรู้สึกความคิดเห็นและการกระทำของตนเองได้ลงมือปฏิบัติจริง ๆ การเรียนเป็นกิจกรรมอันหนึ่งที่จะทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงไปภายหลังเพราะได้เรียนบางสิ่งบางอย่าง เราจึงเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงความรู้ที่มีอยู่เก่า กระทำหรือดำเนินกิจกรรมบางอย่างผิดจากแต่ก่อนหรือเปลี่ยนทัศนคติ ความคิดเห็นในเรื่องบางเรื่องเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-21185390863281429662010-01-13T18:14:00.001-08:002010-02-24T20:29:21.422-08:00<a href="http://apichatwat500.blogspot.com/2009/12/5.html"><span style="font-size: 130%;">ใบงานครั้งที่ 5</span></a> ท่านจะนำประเด็นต่อไปนี้ไปใช้ในการเป็นครูที่ดีได้อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ<br />
<span style="color: red;">1.การอยู่ร่วมกันในหอพักนักศึกษา</span>การอยู่ร่วมกันในหอพักนั้น เป็นการอยู่รวมของคนหมู่มาก ซึ่งพื้นฐานและพฤติกรรมของนักศึกษาแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีกติกาข้อตกลงในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเพื่อทำให้เกิดความสามัคคีและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ<br />
<span style="color: red;">2.การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม</span><br />
ในฐานะที่เป็นนักเรียน นักศึกษาจึงมีความจำเป็นที่ต้องทำงานเป็นกลุ่ม ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนไม่ค่อยพึงปราถนา แต่ก็สามารถทำให้เป็นเรื่องที่สนุกขึ้นมาได้ และผลงานที่ออกมายังมีประสิทธิผลอีกด้วย ในความเป็นจริงหลายๆคนคงทราบกันดีว่า การทำงานเป็นกลุ่มนั้นมีข้อดีมากมาย เช่น<br />
1.สมาชิกในกลุ่มสามารถแสดงความดิดเห็นได้หลากหลาย<br />
2.งานกลุ่มที่เกิดขึ้นนั้นมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น เพราะสมาชิกในกลุ่มช่วยกันหาทางแก้ปัญหา (ซึ่งได้ดีกว่าทำงานเดี่ยว)<br />
3.สมาชิกในกลุ่มสามารถช่วยเหลือ และกระตุ้นกันและกันในการทำงานได้<br />
<br />
<span style="color: red;">3.หากเราทะเลาะกันจะนำหลักการมนุษยสัมพันธ์ไปใช้ได้อย่างไร</span><br />
หลักการมนุษย์สัมพันธ์มนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงการใช้ศิลปะในการแสดงออกทางพฤติกรรมระหว่างกันของบุคคลในทุกระดับของสังคม ซึ่งจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ดังนั้นมนุษยสัมพันธ์จึงเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยวิทยาการหลายสาขาวิชามาบูรณาการกัน หลักการสร้างมนุษยสัมพันธ์ โดยทั่วไปแล้ว เราควรจะเริ่มต้นด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น<br />
1. จงเห็นคุณค่าและความมีศักดิ์ศรีของมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน<br />
2. จงมีทัศนคติที่ดีต่อมนุษย์ด้วยกันเห็นในความสำคัญของมนุษย์<br />
3. จงเริ่มต้นจากตัวเราก่อน<br />
4. จงเห็นคุณค่าและเหตุผลของผู้อื่น<br />
5. จงแสดงความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยท่าทีที่เป็นมิตรสุภาพให้เกียรติต่อกัน<br />
6. พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง การโต้เถียงในสิ่งที่ไม่ใช่สาระหรือประเด็นสำคัญ<br />
7. มีความจริงและสุจริตใจกับผู้อื่นเสมอ ฯลฯ<br />
<a href="" name="head4"></a>เทคนิควิธีมนุษยสัมพันธ์ในการสร้างมิตร การแสวงหาวิธีการ ที่จะทำให้คนเรามีมนุษยสัมพันธ์มีความเป็นมิตรเกื้อกูลเอื้ออาทรกันนั้น มีหลักการช่วยส่งเสริมอยู่มากมาย ดังจะกล่าวพอสังเขปดังนี้ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น<br />
1. พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย<br />
1. เมตตา ได้แก่ การมีเมตตาจิตคิดที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข<br />
2. กรุณา คือ คิดเอ็นดูจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์<br />
3. มุทิตา คือ มีความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี<br />
4. อุเบกขา คือ การวางตัวเป็นกลาง ไม่ลำเอียง<br />
2. สังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย<br />
1. ทาน คือ การแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น<br />
2. ปิยวาจา คือ การเจรจาไพเราะอ่อนหวาน ชวนฟัง<br />
3. อัตถจริยา คือ การปฏิบัติตนอันเป็นประโยชน์เกื้อกูลกัน<br />
4. สมานัตตตา คือ การวางตัวสม่ำเสมอ และทำให้เข้ากับคนทั้งหลายได้เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-19755803389708949032010-01-13T18:13:00.000-08:002010-01-27T17:57:18.854-08:00<a href="http://apichatwat500.blogspot.com/2009/12/4.html"><span style="font-size:130%;">ใบงานครั้งที่ 4</span></a><br />ให้นักศึกษาอธิบายในประเด็นดังนี้<br /><span style="color:#ff0000;">1.หลักการของการทำงานเป็นทีมควรเป็นอย่างไร</span><br />1. การตั้งวัตถุประสงค์ของทีมงานอย่างชัดเจน วัตถุประสงค์เป็นจุดหมายที่เราจะต้องบรรลุให้ได้ เป็นเหมือนดวงดาวที่เราจะต้องร่วมกันฟันฝ่าไปถึงไม่ว่า จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม เช่น เป็นผู้นำตลาดหรือเป็นบรรษัทธรรมาภิบาล เป็นต้น<br />2. การกำหนดขั้นตอนการทำงานของทีมงาน การทำงานเป็นทีมจะต้องเป็นระบบ ดังนั้น ต้องมีความชัดเจนว่าใครจะเป็นคนทำ ทำอะไร ทำที่ไหน ทำอย่างไร ทำทำไม และทำเมื่อใด<br />3. การกำหนดทิศทางของทีมงาน ทิศทางการทำงานของทีมจะแสดงถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และความแน่วแน่ของทีมงานในการทำงานให้ประสบ ความสำเร็จซึ่งถือเป็นการแสดงภาวะผู้นำของทีมงานด้วย<br />4. การสื่อข้อความ หรือการสื่อสารภายในทีมงาน เพราะการสื่อสารโดยเสรี จริงจังจริงใจ และปราศจากการปิดบังซ่อนเร้นจะทำให้การดำเนินงานของ ทีมงานชัดเจนโปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกระยะ<br />5. การมีส่วนร่วมของสมาชิกในทีมงาน สมาชิกทุกคนเป็นทรัพยากรที่มีค่า และ แน่นอนว่าไม่มีใครจะเก่งทุกเรื่อง ดังนั้น การที่เราให้ทุกคนมีส่วนร่วมใน การทำงาน อย่างเต็มที่จะทำให้เกิดความผูกพันในทีมงานเป็นอย่างสูง<br />6. การบริหารเวลาของทีมงาน การบริหารเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากการใช้เวลามากไปหรือน้อยไปล้วนแต่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อทีมงาน การใช้เวลาที่ เหมาะสมอย่างเต็มประสิทธิภาพจะทำให้เกิดประสิทธิผลของงานอย่างเต็มที่<br />7. การตัดสินใจของทีมงาน การตัดสินใจของทีมงานย่อมมีผลผูกพันกับสมาชิกดังนั้น สมาชิกทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจด้วยจึงจะ เป็นการตัดสินใจที่ชอบด้วยเหตุและผล<br />8. การวิพากษ์การทำงานของทีมงาน การวิพากษ์เป็นเครื่องมือที่จะช่วยปรับปรุงผลงานของทีมงานให้ดีขึ้นดังนั้นทีมงานที่ดี จึงควรที่จะให้ สมาชิกวิพากษ์ กระบวนการทำงานของทีม เพื่อหาข้อบกพร่อง และข้อควรปรับปรุงแก้ไขต่อไป<br />9. การสร้างวัฒนธรรมของทีมงานวัฒนธรรมเกิดจากการประพฤติและการปฏิบัติร่วมกันของสมาชิกในทีมงานจนก่อเกิดเป็นเป็นวัฒนธรรมของทีมงานซึ่ง อาจเป็นวัฒนธรรมที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ วัฒนธรรมที่ดีก็จะช่วยทำให้เกิดผลงานที่ดีด้วย<br />10. ความผูกพันของทีมงาน ทีมงานที่ดีจะสามารถสร้างพันธกิจร่วมกันให้สมาชิกเกิดความผูกพันกับทีมงาน และร่วมกันนำพาทีมงานให้ประสบความ สำเร็จอย่างยั่งยืน มิฉะนั้นก็จะเป็นเพียงทีมงานเฉพาะกิจที่อยู่ได้ไม่นานนัก<br /><br /><span style="color:#ff0000;">2.มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้การทำงานเป็นทีมประสบผลสำเร็จ</span><br /><a href="http://my2tum.multiply.com/journal/item/19/19" rel="bookmark">ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีม </a><br />1. บรรยากาศของการทำงานมีความเป็นกันเอง อบอุ่น มีความกระตือรือร้น และสร้างสรรค์ ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างจริงจัง และจริงใจ ไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นถึงความเบื่อหน่าย<br />2. ความไว้วางใจกัน เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเป็นทีม สมาชิกทุกคนในทีมควรไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ ซื่อสัตย์ต่อกัน สื่อสารกันอย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน<br />3. มีการมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมาชิกทีมงานเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน<br />4. บทบาท สมาชิกแต่ละคนเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของตน และเรียนรู้เข้าใจในบทบาทของผู้อื่นในทีม ทุกบทบาทมีความสำคัญ รวมทั้งบทบาทในการช่วยรักษาความเป็นทีมงานให้มั่นคง เช่น การประนีประนอม การอำนวยความสะดวก การให้กำลังใจ เป็นต้น<br />5. วิธีการทำงาน สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ<br />5.1 การสื่อความ การทำงานเป็นทีมอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจนเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ทุกคนกล้าที่จะเปิดใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ<br />5.2 การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีมต้องใช้การตัดสินใจร่วมกัน เมื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจแล้ว สมาชิกย่อมเกิดความผูกพันที่จะทำในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น<br />5.3 ภาวะผู้นำคือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การทำงานเป็นทีมควรส่งเสริมให้สมาชิกทุกคนได้มีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ (ไม่ใช่ผลัดกันเป็นหัวหน้า) เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ จะได้รู้สึกว่าการทำงานเป็นทีมนั้นมีความหมาย ปรารถนาที่จะทำอีก<br />5.4 การกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะเอื้อต่อการทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วม ในการกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ร่วมกัน<br />6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของทีม ทีมงานควรมีการประเมินผลการทำงาน เป็นระยะ ในรูปแบบทั้งไม่เป็นทางการ และเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงาน ทำให้สมาชิกได้ทราบความก้าวหน้าของงาน ปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบวนการทำงาน หรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ซึ่งในที่สุดสมาชิกจะได้ทราบว่าผลงานบรรลุเป้าหมาย และมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด<br />7. การพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง<br />7.1 พัฒนาศักยภาพทีมงาน ด้วยการสร้างแรงจูงใจทางบวก สมาชิกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีการจัดกิจกรรมสร้างพลังทีมงาน เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ประสบผลสำเ<br />7.2 การให้รางวัล ปัจจุบันการพิจารณาผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานไม่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม ส่วนใหญ่จะพิจารณาผลการทำงานเป็นรายบุคคล ดังนั้นระบบรางวัลที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม คือ การที่ทุกคนได้รางวัลอย่างยุติธรรมทุกคน คือ ควรสนับสนุนการให้รางวัลแก่การทำงานเป็นทีมในลักษณะที่ว่างอยู่บนพื้นฐานการให้รางวัลกับกลุ่ม<br /><br /><span style="color:#ff0000;">3.ในฐานะที่ท่านเป็นครูท่านจะนำวิธีการทำงานเป็นทีมไปประยุกต์ใช้กับการสอนได้อย่างไร</span><br />ในฐานะที่ข้าพเจ้าจะป็นครูต่อไปในอานาคตนั้น การที่เราเป็นครูแน่นนอนว่าจะต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม และที่สำคัญการที่จะทำอะไรก็ตามจะต้องทำเป็นทีมจึงจะประสบความสำเสร็จได้ ดังนั้นในการสอนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปลูกฝังในเด็กๆ รู้จักคำว่าทีม จะต้องให้ความสำคัญกับทีม- การสื่อสารและปฏิสัมพันธ์- การใส่ใจซึ่งกันและกัน- การสร้างกำลังใจให้กับทีม- การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน เชื่อแน่ว่าทีมของเราจะเป็นทีมเวิร์คแน่นอนเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-41628184350745867732010-01-13T18:12:00.000-08:002010-01-27T17:56:08.727-08:00<span style="font-size:130%;">ใบงานครั้งที่3 </span><br /><a href="http://sudarat012.blogspot.com/2010/01/3.html">ให้นักศึกษาอธิบายในประเด็นดังต่อไปนี้</a><br /><span style="color:#ff0000;">1.ความหมายองค์และองค์การ</span><br />องค์กร(Organ) หมายถึง ส่วนประกอบย่อยของหน่วยใหญ่ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กัน หรือขึ้นต่อกันและกันองค์การ(Organization) หมายถึง การเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมที่ร่วมประกอบกันขึ้นเป็นหน่วย<br /><br /><span style="color:#ff0000;">2.องค์ประกอบของการสื่อสาร</span><br />การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการองค์ประกอบของการสื่อสาร ประกอบด้วย<br />1. ผู้ส่งข่าวสาร (Sender)<br />2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)<br />3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)<br />4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)<br />5. ความเข้าใจและการตอบสนอง<br /><br /><span style="color:#ff0000;">3.การสื่อสารมีช่องสื่อสารอย่างไรบ้าง</span><br />1. ช่องทางการสื่อสารแบบมีสาย ในปัจจุบันสายสัญญาณหรือเคเบิลที่นิยมใช้กันมีดังนี้-*สายทวิสเตคแพร์ หรือที่เรียกว่า “สายคู่บิดเกลียว” เป็นสายโทรศัพท์ที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ทั่วไปสามารถส่งสัญญาณเสียงหรือสัญญาณดิจิตอลก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของสายมีลักษณะเป็นสายทองแดง 2 เส้น ซึ่งแต่ละเส้นมีฉนวนหุ้ม แล้วนำมาพันกันเป็นเกลียวและเก็บอยู่ภายในเปลือกหุ้ม (Jacket) เดียวกัน * สายคู่บิดเกลียวมีชีลด์ (Shielded Twisted Pair: STP)สาย STP มีการป้องกันสัญญาณรบกวนด้วยการใช้ฉนวนพิเศษพันอยู่โดยรอบช่วยให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นมีระยะทางในการส่งประมาณ 600-800 เมตร* สายคู่บิดเกลียวไม่มีชิลด์ (Unshielded Twisted Pair: UTP)สาย UTP เป็นสายที่ไม่มีการป้องกันสัญญาณรบกวนเป็นพิเศษมีระยะทางในการส่งประมาณ 400-600 เมตร นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการหรือห้องเรียนต่าง ๆ2.เคเบิลใยแก้วนำแสง (Fiber-optic Cable)สายโคแอกเชียลและสายทวิสเตดแพร์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นมีสายทองแดงเส้นหนึ่งอยู่ตรงกึ่งกลาง เพื่อทำหน้าที่ในการนำกระแสไฟฟ้าส่วนในกรณีของเคเบิลใยแก้วนำแสงนั้นจะใช้แท่งแก้วที่มีลักษณะทรงกระบอกอยู่ตรงกลางแทนโดยเคเบิลใยแก้วนำแสงนี้ใช้วิธีการส่งข้อมูลด้วยแสงแทนการส่งด้วยสัญญาณไฟฟ้า<br /><br /><span style="color:#ff0000;">4.ประสงค์ของการสื่อสารมีอะไรบ้าง</span><br />มนุษย์ทุกคนมีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น และเพื่อให้การอยู่ร่วมกันนั้นดำเนินไปอย่างสันติสุข การสื่อสารจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง โดยปกติมนุษย์จะใช้การสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้๑. เพื่อแจ้งให้ทราบ หมายถึง การสื่อสารที่ผู้ส่งสารจะแจ้ง หรือบอกกล่าวข่าวสาร ข้อมูลเหตุการณ์ ความคิด ความต้องการของตนให้ผู้รับได้ทราบ๒. เพื่อสอนหรือให้การศึกษา เป็นการสื่อสารที่มุ่งจะให้ผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านองค์ความรู้ ความคิด สติปัญญา จึงมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอน หรือการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการโดยเฉพาะ๓. เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง หมายถึง การสื่อสารที่มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร เช่น ทำให้เกิดความบันเทิง รื่นเริง สนุกสนาน เกิดความพอใจ เกิดความสุข ความสบายใจ เป็นต้น๔. เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ จะมุ่งเน้นให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมคล้อยตาม หรือยอมปฏิบัติตาม เช่น เปลี่ยนทัศนคติจากที่เคยไม่ชอบมาชอบได้ ฉะนั้น ผู้ส่งสารจึงต้องใช้วิธีการนำเสนอสารในรูปแบบของการแนะนำ ชี้แนะ หรือยั่วยุ และปลุกเร้าที่เหมาะสม<br /><br /><span style="color:#ff0000;">5.ในฐานะที่เป็นนักศึกษาครูจะนำวิธีการสื่อสารไปใช้ได้อย่างไร </span><br />ในการสื่อสารนั้นทุกคนย่อมมีจุดประสงค์ในการสื่อสาร แต่ว่าในการสื่อสารนั้นก็ย่อมจะมีทั้งที่ดีและไม่ดีไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารแบบที่ต้องการแจ้งให้ทราบ สอนหรือให้ศึกษา ให้ความพอใจหรือให้ความบันเทิงเพื่อเสนอหรือชักจูง แล้วแต่ว่าเราจะมีกระบวนการที่จะสื่อสารอย่างไร ในการสื่อสารนั้นควรสื่อสารแต่ข้อมูลที่ดีมีประโยชน์ เพราะการสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมของเรานั้นเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-88340467575402754012010-01-13T04:56:00.001-08:002010-01-27T17:54:49.484-08:00<a href="http://apichatwat500.blogspot.com/2009/12/2.html"><span style="font-size:130%;">ใบงานครั้งที่ 2</span></a><br />เรื่อง ภาวะผู้นำในการบริหารการศึกษา<br /><span style="color:#ff0000;">1. นักศึกษาให้ความหมาย ผู้นำ ผู้บริหาร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร</span><br />ผู้นำ คือ บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นมา หรือได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้า เป็นศูนย์กลาง เป็นผู้กำหนดเป้าหมาย ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบทบาท และขณะเดียวกันก็สามารถทำให้สมาชิกภายในกลุ่มปฏิบัติงานร่วมกัน โดยใช้อิทธิพลในความสัมพันธ์ ความสมัครสมานสามัคคีกัน ปฏิบัติการ และอำนวยการให้งานเจริญก้าวหน้า และ บรรลุผลสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ผู้บริหาร คือ ผู้ที่แบ่งงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตามความรู้ความสามารถ แล้วนิเทศงานอย่างเป็นระบบ พร้อมให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม เพื่อให้งานบรรลุผลอย่างมีคุณภาพ<br /><br /><span style="color:#ff0000;">2. นักศึกษาสรุปบทบาทและภาระหน้าที่ของผู้นำ </span><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#000000;"></span><span style="color:#336666;"><span style="color:#666666;">ภาวะผู้นำมีบทบาทที่แบ่งอย่างกว้างๆ ออกเป็น 4 ประการ 1.การกำหนดแนวทางหลัก (Pathfinding) ผู้นำควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายและแนวความคิดที่ชัดเจน 2.การสร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิผล (Aligning) การสร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิผลหรือการทำให้องค์การดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน คือการลงมือสร้างแผนหลักที่กำหนดขึ้นในขั้นตอนที่หนึ่ง ทุกระดับชั้นขององค์การควรมีการดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน ในฐานะผู้นำต้องเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน ขั้นตอนการทำงาน และโครงสร้างองค์การให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายขององค์การที่ได้วางไว้แล้ว 3.การมอบอำนาจ หากผู้นำมีการมอบอำนาจให้แก่พนักงานอย่างจริงจังจะทำให้บรรยากาศในการทำงานมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การสื่อสารระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มเกิดประสิทธิผลและเกิดผลลัพธ์ใหม่ๆที่สร้างสรรค์ 4.การสร้างตัวแบบ (Modeling) หัวใจของการเป็นผู้นำคือต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะไม่เพียงแต่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างไรเท่านั้น แต่ผู้นำยังต้องมีคุณสมบัติของผู้นำที่ดีด้วย กล่าวคือ ต้องเข้าใจถึงความสำคัญของดุลยภาพระหว่างคุณลักษณะ (Characteristics) กับความรู้ความสามารถ เพราะไม่ว่าบุคคลจะมีความสามรถเพียงใดก็ไม่สามารถจะเป็นผู้นำที่แท้จริงได้ หากปราศจากซึ่งคุณลักษณะที่เหมาะสม</span> </span></span><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#336666;"><br /></span>3. นักศึกษาจะมีวิธีการพัฒาภาวะผู้นำของนักศึกษาได้อย่างไร </span><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#000000;">การพัฒนาภาวะผู้นำ การเป็นผู้นำที่ดีนั้น จะต้องพัฒนา ตัวเองอยู่เสมอให้นำหน้าบุคคลอื่น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง พัฒนาตัวเองให้ทันสมัยทันเหตุการณ์อยู่เสมอ การพัฒนา ภาวะผู้นำอาจทำได้ ดังนี้1. Learn on the job คือ เรียนจากงานที่ทำ ส่วนมากเวลาเราไปศึกษาดูงานจากสถานศึกษา มักจะดู Product (ผลงาน) มากกว่า เช่น เราไปดูโรงเรียนดีเด่น ผู้บริหารของโรงเรียนดีเด่น มักจะไม่ดูว่าเขาทำอย่างไรจึงได้รับความสำเร็จเป็นโรงเรียนดีเด่น คือเราไม่ดูกระบวนการ (Process) หรือ วิธีการ อย่าลืมว่า งานยิ่งท้าทายมากเท่าไรคนยิ่งใช้ความพยายามมากขึ้น คนยิ่งกระตือรือร้นยิ่งขึ้น เป็นการท้ายทายกระตุ้นความสามารถยิ่งขึ้น 2. Learn from people คือ เรียนจากผู้อื่น ผู้นำต้องพร้อมที่จะเรียน พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงที่ดี ผู้ใดที่อยู่ในกลุ่มคนเรียนเก่งก็จะเก่งไปด้วย แต่ตรงข้ามถ้าอยู่ในกลุ่มของคนเรียนอ่อนก็พลอยเป็นคนเรียนอ่อนไปด้วย เหมือนคำโบราณที่กล่าวว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” 3. Learn from bosses คือ เรียนจากนาย ถ้าเราได้นายดี เราจะเรียนรู้อะไรมากมายจากนาย ตรงข้ามถ้านายเราไม่ดี เราก็พลอยแย่ไปด้วย ผู้นำที่ดีจะต้องเป็นนายที่ดีของลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย การเรียนจากบทบาทแบบอย่าง (Roles) จะทำให้ผู้นำพัฒนาภาวะผู้นำมากยิ่งขึ้น ผู้นำหลายคนเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ซึ่งความผิดพลาดจะกลายเป็นบทเรียนชั้นดีได้4. Training and workshop คือ การฝึกอบรมและปฏิบัติการ เป็นสิ่งที่ผู้นำจะพัฒนาภาวะผู้นำของตัวเองได้ การฝึกอบรม (Training) มีอยู่ 4 รูปแบบคือ 4.1 New Leader คือ ผู้นำคำใหม่ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใหม่ เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น จะต้องมีการฝึกอบรม เช่น ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการ จะมีการฝึกอบรมก่อนจะเข้ารับตำแหน่งเสมอ 4.2 Management Development คือ การพัฒนาการวิธีการจัดการ การฝึกอบรมจะเน้นทักษะในการทำงาน จะต้องทำให้ดีกว่า เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เช่น เมื่อมีกฎ ระเบียบ ออกมาใหม่ จะต้องเข้าอบรมเสียก่อน จะต้องฝึกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้กฎ ระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อมูลใหม่ ๆ ท่านสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านได้ 4.3 Leadership Enhancement คือ เพิ่มพูนภาวะผู้นำ หรือความเป็นผู้นำ หมายถึง ฝึกความสามารถ 4.4 Leadership Vitality คือ ฝีกสิ่งสำคัญของภาวะผู้นำ หรือความเป็นผู้นำ หมายถึง ทุกคนรักความก้าวหน้า จะฝึกอย่างไรให้เขามีความก้าวหน้าเพราะทุกคนต้องการ<br /></span>4. นักศึกษากล่าวถึงภาวะผู้นำสมัยใหม่จะต้องมีวิธีคิดอย่างไร </span><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#000000;">1. จะต้องมีความฉลาด (Intelligence) ผู้นำจะต้องมีระดับความรู้และสติปัญญาโดยเฉลี่ยสูงกว่าบุคคลที่ให้เขาเป็นผู้นำ ถึงแม้จะไม่แตกต่างกันมาก เพราะผู้นำจะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง2. จะต้องวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social maturity & achievement breadth) คือจะต้องมีความสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว อย่างกว้างขวาง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ จะต้องยอมรับสภาพต่าง ๆ ไม่ว่าแก้หรือชนะ ไม่ว่าผิดหวังหรือสำเร็จ 3. จะต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner motivation & achievement drive) ผู้นำจะต้องมีแรงจูงใจภายในสูง และจะต้องมีแรงขับที่จะทำอะไรให้ดีเด่น ให้สำเร็จอยู่เรื่อย ๆ เมื่อทำสิ่งหนึ่งสำเร็จก็ต้องการที่จะทำสิ่งอื่นต่อไป 4. จะต้องมีเจตคติเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human relations attitudes) ผู้นำที่ประสบผลสำเร็จนั้น เขายอมรับอยู่เสมอว่า งานที่สำเร็จนั้นมีคนอื่นช่วยทำ ไม่ใช่เขาทำเอง<br /></span>5. นักศึกษาคิดว่า ประสิทธิภาพของภาวะผู้นำที่ดีควรทำอย่างไร</span><br /><span style="color:#ff0000;"></span><span style="color:#000000;">ผู้นําที่ดีจะต้องยึดหลัก “ธรรม” เช่น พรหม วิหาร ๔ ธรรมาธิปไตย พละ ๔ และสัปปุริสธรรม ๗ เป็นต้น เป็นคุณธรรมสําคัญสําหรับการปฏิบัติ หน้าที่ของตน เพื่อให้สามารถดําเนินกิจการงานทุกอย่างให้บรรลุผลสําเร็จที่วางไว้และนําพา หมู่คณะและสังคมไปสู่ความสงบสุขและมั่นคงตลอดไป </span>เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-59036410568709543472010-01-13T04:54:00.000-08:002010-01-27T17:53:27.357-08:00<a href="http://apichatwat500.blogspot.com/2009/12/1.html"><span style="font-size:130%;">ใบงานครั้งที่ 1</span></a><br />ทฤษฎีและหลักการจัดการบริหารการศึกษา<br /><span style="color:#ff0000;">1. นักศึกษาให้คำนิยาม การบริหาร การบริหารการศึกษา</span><br />การบริหาร คือ กลุ่มบุคคลที่ทำหน้าที่วางแผนการจัดองค์การ จัดคนเข้าทำงาน สั่งการ และควบคุม การทำงานให้กิจกรรมขององค์การดำเนินไปตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอยู่บนพื้นฐานของปัจจัยในการบริหารการศึกษา คือ การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดีจากความหมายของการบริหารและการศึกษา จึงสรุปได้ว่าการบริหารการศึกษา คือ การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี” นั่นเอง<br /><br /><span style="color:#ff0000;">2. นักศึกษาอธิบายคำว่าศาสตร์และศิลป ยกตัวอย่างประกอบศาสตร์</span><br />คือ สิ่งที่ได้ค้นพบและสามารถนำไปใช้ได้ อาจแบ่งเป็นดีรึไม่ดีศาสตร์ หรือ "ระบบวิชาความรู้"ส่วน ศิลป์ ในที่นี้หมายถึง "ฝีมือในการจัดการที่ให้ความสนใจปัจจัยทางด้านสังคม อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจด้วย"การทำงานหรือการแก้ปัญหาต่าง ๆ จะใช้แต่ศาสตร์ (วิชาความรู้) อย่างเดียวไม่พอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ ของตัวเราเอง ปัญหาในองค์การ ปัญหาสังคม หรือแม้แต่ปัญหาระดับชาติ ก็คงต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการแก้ปัญหา เพื่อจะได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดนั่นเอง<br /><br /><span style="color:#ff0000;">3. นักศึกษากล่าวสรุปการวิวัฒนาการบริหารอย่างย่อ ๆพอสังเขป</span><br />วิวัฒนาการของการบริหารวิวัฒนาการของการบริหาร มี 4 ยุค คือ ยุคที่ 1 วิวัฒนาการของการบริหารยุคก่อน Classical เป็นระยะเวลาก่อนการคิดค้นการบริหารที่มีหลักเกณฑ์ เริ่มต้นตั้งแต่คนรู้จักรวมกำลังทำงานเรื่อยมา จนถึงประมาณ ค.ศ. 1880 เป็นครั้งแรกที่คาเริ่มหาวิธีการบริหารที่มีหลักเกณฑ์ สาะสำคัญในยุคที่ 11. คนงานอยู่ภายใต้อำนาจของหัวหน้าผู้ควบคุมหรือนายจ้าง2. ความสัมพันธ์ระหว่างกันมีพื้นฐานจากระบบเจ้าขุนมูลนาย3. ใช้ระบบเผด็จการ4. สังคมชาวเยอรมันมีการแบ่งแยกบุคคลที่มีอำนาจเหนือกว่า5. มีระบบศักดินา ยุคที่ 2 วิวัฒนาการของการบริหารยุค ยุคที่ 2 วิวัฒนาการของการบริหารยุค Classical ป็นยุคการบริหารทีมีหลักเกณฑ์ อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1880 – 1930สาระสำคัญของยุคที่ 21. มีการรปฏิวัติอุตสาหกรรม2. มีการจ่ายค่าจ้างให้คนงานอย่างเพียงพอ3. มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินส่วนตัว4. มีความก้าวหน้าทางวิชาการ5. เกิดศาสตร์ทางการบริหาร พื้นฐานความคิดของการบริหารยุคนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนาทางอุตสาหกรรม ยุคที่ 3 วิวัฒนาการของการบริหารยุคมนุษยสัมพันธ์เป็นแนวคิดทางการบริหารที่เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1974 มาจนถึง ค.ศ. 1950 พื้นฐานความคิดทางการบริหารกล่าวได้ว่า Elton Mayo เป็นบุคคลแรกที่มำให้แนวความคิดทางการบริหารเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์เป็นสังคม มีความต้องการให้ความคิดของตัวเองเป็นจริง เน้นการจูงใจ ยุคที่ 4 ยุคพฤติกรรมศาสตร์ คือ เป็นการบริหารที่ให้ความสำคัญทั้งงานและคนตามสถานการณ์<br /><br /><span style="color:#ff0000;">4. นักศึกษาอธิบายทฤษฎีมาสโลว์ ทฤษฎีภาวะผู้นำ ทฤษฎีX ทฤษฎีY</span><br />1. Theory x ทฤษฎีเอกซ์ เป็นสมมติฐานในทางลบของบุคคล 2. Theory y ทฤษฎีวาย เป็นสมมติฐานทางบวกการบริหารแบบพฤติกรรมศาสตร์มีอิทธิพลต่อการบริหารการศึกษา คือ<br />1. ทำให้ผู้บริหารหันมาสนใจกับการพัฒนาระบบการทำงานและการส่งเสริม สร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรในโรงเรียน<br />2. ผู้บริหารโรงเรียนควรนำหลักวิทยาศาสตร์ สังคม และจิตวิทยา มาใช้ในการบริหารอย่างเหมาะสมผสมผสานอย่างกลมกลืน<br />3. ผู้บริหารโรงเรียนควรนำกรอบความคิด นำสรุปที่ได้จากทฤษฎีการบริหารมาเป็นแนวทางในการบริหารและประยุกต์ใช้หลักการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง<br /><br /><span style="color:#ff0000;">5. ทฤษฎีอธิบายมนุษยสัมพันธ์และแรงจูงใจ</span><br />แรงจูงใจ (Motive)สิ่งที่บุคคลคาดหวัง โดยที่สิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่บุคคลพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจก็ได้ แรงจูงใจมีผล ดังนี้1. เป็นพลังงานที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม2. เป็นตัวกำหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรม3. เป็นตัวกำหนดระดับของความพยายามมนุษยสัมพันธ์มนุษยสัมพันธ์ เป็นเทคนิคการกระตุ้นให้คนและกลุ่มคนมาเกี่ยวข้องกันทั้งในเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวจนสามารถทำกิจกรรมใดๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ เพื่อที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการทำงานเพื่อส่วนรวมนี้จะเป็นกระบวนการกลุ่มที่ทำงานร่วมกันด้วยความเต็มใจ เต็มความสามารถเกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-697617531455150560.post-52641337472536806932010-01-06T19:21:00.000-08:002010-01-13T05:23:04.551-08:00แนะนำตัว<span style="font-family:lucida grande;">ชื่อ นางสาววีร์วิกา อุบลจันทร์</span><br />เรียกเล่นๆ กาก้า<br />เกิด 22 มิ.ย. 31<br />อายุ 21 ขวบ<br />คติ คนท้อไม่แท้ คนแท้ไม่ท้อ<br />หลบมาบ้าน บ้านน้ำแคบ ม.1 ต.อินคีรี อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช 80230<br />การศึกษา อนุบาล-ประถม โรงเรียนเทศบาลวัดมเหยงคณ์<br />มัธยมต้น-ปลาย โรงเรียนเมืองนครศรีธรรมราช<br />ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช<br />E-mail <a href="mailto:kaka_fanta@hotmail.com">kaka_fanta@hotmail.com</a><br />G-mail <a href="mailto:kakafanta026@gmail.com">kakafanta026@gmail.com</a>เกร็ดความรู้http://www.blogger.com/profile/13858159959340015439noreply@blogger.com0